7 เมืองน่าเที่ยวในยุโรป 2017 ในงบไม่เกิน 1500 บาท ต่อวัน

7 เมืองน่าเที่ยวในยุโรป 2017 ในงบไม่เกิน 1500 บาท ต่อวัน

 

พูดถึง ยุโรป ใครๆก็อยากไปเที่ยวกัน แต่สำหรับคนงบน้อย จะทำอย่างไรล่ะ วันนี้อาหมวยท่องโลกเลยมานำเสนอลิสต์เมืองน่าเที่ยวในราคาไม่เกิน 1500 บาทต่อวัน

 

 

 

1. Budapest, Hungary

เมืองหลวงของประเทศฮังการี อีกเมืองที่ถึงว่าเป็นเมืองยอดนิยมของนักท่องเที่ยว ตัวเมืองนั้นแบ่งออกเป็น 2 ฝั่งโดยมีแม่น้ำ Danube คั่นกลาง มีสะพาน chain bridge อันโด่งดังตั้งสง่าอยู่ตรงกลาง

IMG_9604

 

ชมวิวแม่น้ำ Danube, นั่งเคเบิลคาร์จาก own town ไป castle hill เยี่ยมชมโบสถ์Matthias อันเก่าแก่ที่สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 แวะถ่ายรูปที่ Hero Square จากนั้นไป Fisherman’s Bastion คุณสามารถถ่ายรูปวิวเมือง Budapest ทั้งหมดจากตรงนี้ ตอนเย็น ก็แวะเดินเล่น ชมวิวยามค่ำคืนริมแม่น้ำ Danube และโปรมแกรมอื่นๆอีกสารพัด

 

ส่วนตัวแล้ว ชอบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ของที่นี่ และความโรแมนติกเล็ก โดยเฉพาะตอนที่มองลงมาจากสะพาน

IMG_9603

 

อาหารที่นี่จะเป็นสไตย์ยุโรป แต่ราคาไม่แพงเลย เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในยุโรป อาหารเอเชียที่ฮิตของที่นี่คือ อาหารจีน ให้เยอะ ราคาโอเค

 

IMG_9622

ข้อควรระวัง:
ที่นี่ homeless เยอะ และในรถไฟฟ้าใต้ดิน มิจฉาชีพเยอะ ตอนซื้อตั๋ว ชอบมายุ่ง มาถามว่าให้ช่วยไหม บางทีมาเสนอขายตั๋ว อย่าหลงกล

 

 

ค่าใช้จ่ายคร่าวๆต่อวัน

หน่วยเงินที่ใช้: โพรินท์ฮังการี (HUF) 1 HUF = 0.14 THB

ค่าเดินทางในเมือง: 100 บาท
ค่าอาหารต่อ 3 มื้อ: 450-700 บาท
ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ: 200-300 บาท
ค่าที่พักโฮสเทล(นอนรวม): ถูกสุดตกคืนละ 320 บาท

= ต่อวันไม่ถึง 1000 บาท

 

 

 

 

2. Sofia, Bulgaria

 

IMG_9620

 

ประเทศนี้อาหมวยท่องโลกยังไม่เคยไป แต่วางแพลนไว้ว่าจะไปปีหน้า เท่าที่ศึกษามา ค่าครองชีพถูกมาก สถานที่ท่องเที่ยวนั้นอาจไม่ค่อยมีมากเหมือนประเทศอื่น แต่รับรองได้ว่า Sofia จะหนึ่งในเมืองที่คุณจะต้องทึ่งกับค่าครองชีพและวิวธรรมชาติอย่างแน่นอน

IMG_9617IMG_9618

 

ค่าใช้จ่ายคร่าวๆต่อวัน

หน่วยเงินที่ใช้: Leva(BGN)

ค่าเดินทางในเมือง: 40-50 บาท(ถูกสุดๆ)
ค่าอาหารต่อ 3 มื้อ: 350-500บาท
ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ: 120 บาท
ค่าที่พักโฮสเทล(นอนรวม): ถูกสุดตกคืนละ 230-250 บาท

= ไม่ถึง 1 พันบาทต่อวัน

 

 

 

 

3. Cesky Krumlov, Czech Republic.

 

ถ้ามา Czech Republic คงจะไม่พลาดที่จะไปเมืองนี้ เยี่ยมชมปราสาทเก่าแก่สไตย์โกธิค ที่สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 และชมวิวพาโนรามา นับว่าที่นี่คือเมืองยอดนิยมของ Czech Republic

IMG_9606

 

นักท่องเที่ยวที่นี่ส่วนใหญ่มักเป็นชาวเอเชีย แต่ก็ไม่เยอะเกินไปจนวุ่นวาย ถ้ามีโอกาสได้มา Czech Republic อย่าลืมแวะเที่ยวที่นี่ด้วยนะคะ

 

 

IMG_9605IMG_9607

ค่าใช้จ่ายคร่าวๆต่อวัน

 

หน่วยเงินที่ใช้: โคลูนา เชค (CZK)

ค่าเดินทางในเมือง: 80-100 บาท
ค่าอาหารต่อ 3 มื้อ: 450-550บาท
ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ: 150-200 บาท
ค่าที่พักโฮสเทล(นอนรวม): ถูกสุดตกคืนละ 400 บาท

= เฉลี่ย 1080 บาท

 

 

 

 

4. Zagreb, Croatia

 

IMG_9609

 

ข้อดีของเมืองนี้คือ ไม่ใช่เมืองยอดนิยมของนักท่องเที่ยว ทำให้ไม่วุ่นวาย เงียบ สงบ แถมราคาค่าอาหาร ค่าที่พัก สบายกระเป๋าแบบนี้ ไม่ไปคงไม่ได้แล้ว

IMG_9610

 

ค่าใช้จ่ายคร่าวๆต่อวัน

หน่วยเงินที่ใช้: KUNA (HRK)

ค่าเดินทางในเมือง: 110-150 บาท
ค่าอาหารต่อ 3 มื้อ: 450-700บาท
ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ: 160-200บาท
ค่าที่พักโฮสเทล(นอนรวม): ถูกสุดตกคืนละ 325 บาท

= เฉลี่ย 1045 บาท

 

 

 

5. Bratislava, Slovakia

IMG_9613

เมืองหลวงของประเทศ Slovakia สถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ ก็จะเป็น ย่านเมืองเก่า, Primat’s Palace, Bratislava Castle,St Michael’s Tower

 

IMG_9612

อาหมวยท่องโลกตกหลุมรักตัวเมืองที่นี่ ตลอดเส้นท้างจะผ่านร้านอาหารน่ารักๆ และตามทางก็จะเจอรูปปั้นแปลกๆ เก๋ๆเต็มไปหมด แม้กระทั้งม้านั่ง คุณก็สามารถถ่ายรูปได้ เป็นเมืองเล็กๆๆ ชิวๆ

IMG_9611

ถ้าใครชอบบรรยากาศยามค่ำคืนก็สามารถเอ็นจอยหรือมาปาร์ตี้ที่นี่ได้

 

ค่าใช้จ่ายคร่าวๆต่อวัน

หน่วยเงินที่ใช้: Euro

ค่าเดินทางในเมือง: 100 บาท
ค่าอาหารต่อ 3 มื้อ: 500-800บาท
ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ: 200-300 บาท
ค่าที่พักโฮสเทล(นอนรวม): ถูกสุดตกคืนละ 320บาท

= ต่อวัน 1120 บาท

 

 

 

6. Tallin, Estonia

IMG_9601

เมืองน่ารัก ขนมอร่อย ผสมผสานกับวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทำให้เมืองนี้ยิ่งน่าเที่ยวขึ้นไปใหญ่

IMG_9602

อีกทั้ง Tallin ยังเป็นเมืองท่าไปฟินแลนด์อีกด้วย

 

 

ค่าใช้จ่ายคร่าวๆต่อวัน

หน่วยเงินที่ใช้: ยูโร (EURO)

ค่าเดินทางในเมือง: 80-100 บาท
ค่าอาหารต่อ 3 มื้อ: 600 – 1000บาท
ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ: 300-400 บาท
ค่าที่พักโฮสเทล(นอนรวม): ถูกสุดตกคืนละ 440 บาท

= เฉลี่ย 1420 บาท

 

 

 

 

 

7. Prague, Czech Republic.

 

 

IMG_9600

เมืองจุดหมายปลายฝันของนักท่องเที่ยว เมืองสุดโรแมนติกของโลก ไม่ว่าจะเป็น ปราสาท อาคารบ้านเรือน รวมไปถึงสะพาน สวยงามสุดๆ อีกทั้งยัวมีแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติอีก บวกกับค่าครองชีพที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆในยุโรป จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนักท่องเที่ยวต่างมาเที่ยวที่นี่กันทั้งนั้น

 

 

IMG_9614

บรรยากาศในช่วง Christmas  ดีอ่ะ

 

IMG_9615

ถ่ายจากสะพาน แค่ตรงนี้ก็รู้สึกฟินแล้วแหละ

 

 

ค่าใช้จ่ายคร่าวๆต่อวัน

หน่วยเงินที่ใช้: โคลูนา เชค (CZK)

ค่าเดินทางในเมือง: 80-100 บาท
ค่าอาหารต่อ 3 มื้อ: 560 – 800บาท
ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ: 400-600 บาท
ค่าที่พักโฮสเทล(นอนรวม): ถูกสุดตกคืนละ 400 บาท

= เฉลี่ย 1500 บาท

 

 

Picture credit: google.com and my picture

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

15 ข้อคิด ที่ฉันได้จากการเดินทางเอง 50 กว่าประเทศรอบโลก

 

15 ข้อคิด ที่ฉันได้จากการเดินทางเองกว่า 50 กว่าประเทศรอบโลก

เที่ยวมาเยอะพอสมควร อาหมวยท่องโลกเลยอยากมาแชร์ว่าการท่องเที่ยวได้ให้อะไรกับเรา และอยากแบ่งปันเรื่องราวประสบการณ์ที่พบเจอ ว่าการเดินทางมันเปลื่ยนเราได้อย่างไร

ทำไมถึงเริ่มออกเที่ยวเอง

จุดเปลื่ยนที่ทำให้เริ่มออกเที่ยวเองคนเดียว มันเริ่มมาจากความกลัว ความเบื่อที่จะรอ และความผิดหวัง. เมื่อก่อนกลัวที่จะต้องไปคนเดียว ขอมีเพื่อนหรือใครสักคนไปด้วยกัน รู้สึกอุ่นใจ ในระหว่างที่รอ มันเต็มไปด้วยความหวัง ความดีใจ ความตื่นเต้น อยากให้ถึงวันนั้นเร็วๆจัง แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เรารอ แล้วต้องล้มเลิก เพียงเพราะ พวกเขาไม่ไป คงเข้าใจกันดีว่า ความรู้สึกมันเป็นเช่นไร เคยรอทริปไปปรากกับเพื่อนเกาหลี เริ่มวางแผน เริ่มหาข้อมูล เริ่มหาตั๋ว รอจองพร้อมกับเพื่อน แต่เพื่อนเกาหลีคนนี้ดันบอกว่า ไปไม่ได้แล้ว ต้องบินกลับเกาหลี อยู่รัสเซียต่อไม่ได้ ตอนนั้นไม่มีคำพูดอะไรที่ออกมาเลย รู้แต่ว่ากลับหอพักมาน้ำตาไหล ทำไมตอนนั้นถึงเซ็นซิทีฟอย่างนั้นก็ไม่รู้ อาจเป็นเพราะว่าเราหวังไว้มาก อยากออกเที่ยวมาก ท้ายที่สุด แพลนไปปรากได้ล้มเลิกไป ตอนนั้นเลยคือ จุดเปลื่ยน บอกตัวเองว่า ต้องไปคนเดียวให้ได้ จะเลิกกลัวให้ได้

แล้วฉันได้อะไรจากการเดินทาง

1. ความกล้าเท่านั้นที่ทำให้ค้นพบทุกสิ่ง

จากที่เคยกลัว ไม่มีความมั่นใจ ขี้กังวล จนล้มเลิกทริปไปหลายครั้ง พอได้ลองเที่ยวคนเดียว ในทุกๆทริป เรามีความกล้ามากขึ้น กล้าหลงทาง หลงก็หลงสิ ถามทางเขาไปทั่ว กล้าลุยไปตามสถานที่ต่างๆ ออกไปเผชิญโลกกว้าง กล้าลองทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะทำ

ตุรกี – Paragliding with handsome guide 🙂

IMG_1085IMG_1087

Processed with VSCO with s3 preset

ตอนไปตุรกี. เราไปลองเล่น Paragliding ตอนก่อนจะไป ถามย้ำกับเจ้าของบ ฉันจะเป็นไรไหม อันตรายหรือเปล่า กลัวๆๆๆ เจ้าของคงเหนื่อยใจกับนังหมวยนี่พอสมควร นาทีที่จะวิ่งออกจากหน้าผา ความรู้สึกเหมือนจะโดดลงไปตาย แต่พอนาทีที่ได้ลอยอยู่เหนือขึ้นฟ้า สวรรค์เลยแหละ อยากบอกคนบังคับว่า อยู่ต่อได้ไหม.

จริงๆแล้วมันไม่ได้น่ากลัวเลย

ความกล้าทำให้เราค้นพบว่า ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่าความอ่อนแอในใจของตัวเอง

สวีเดน-ช่วยเปิดไฟให้ฉันหน่อย มืดเหลือเกิน

IMG_1088IMG_1089

บินไปถึง 4 ทุ่มกว่า กว่าจะหาทางไปโฮสเทลเจอ ก็ประมาณเที่ยงคืนนิดๆ อยู่ตัวคนเดียว ท่ามกลางถนนมืดๆ ไฟก็ไม่มี ในใจตอนนั้น กรูจะเจอโจรไหมว้า. จะมีหมาวิ่งมากัดกรูป่าวว่ะ พยายามบอกตัวเองว่า อย่ากลัว เดินหาทางตามแผนที่ต่อไป จนเจอ นาทีที่เจอโฮสเทล แทบจะกระโดดลอยฟ้า แต่ติดที่นำ้หนักเลยลอยไม่ได้

ใช้ความกล้าสู้กับความกลัวให้มันรู้แล้วรู้รอดไป ถ้าเราไม่ลอง เราก็ไม่มีทางรู้เลยว่าเราจะชนะมันหรือเปล่า

 

 

 

2. ความกลัวอาจทำให้เราเสียโอกาสไป

ทะเลไบคาล/รัสเซีย – ดำหมาเพื่อนรัก

IMG_1093IMG_1094

ตอนนั้นออกทริปเดินทางเกือบ 8 เดือน อากาศติดลบ 28 องศา อาหมวยท่องโลกอยากออกไปเดินเล่นที่ทะเลสาบ อากาศอ่ะ สู้ไหว แต่พอเห็นสุนัขอยู่หน้าประตูโรงแรม ถอยกลับ ไม่ออกไป เจ้าของถามว่า ทำไมไม่ออกไปเที่ยว. ตอบไปว่า ก็ฉันกลัวหมา. เขาหัวเราะบอกว่า ไม่ต้องกลัว มันไม่กัด. เราก็ไปยืนด้อมๆมองๆๆ มันยังอยู่แถมมองมา เฮ้อ ในใจ. เมิงจะมามาทำไมตอนนี้!!!!! สุดท้ายด้วยความที่อยากถ่ายรูปทะเลสาบ เดินออกไป มันเดินตาม น้ำตาแทบไหล. เดินกลับมา หยิบไส้กรอก เดินออกมา โยนให้มันกิน. ด้วยความหวังว่ามันจะมัวแต่กินไส้กรอก คงไม่เดินตามมา เดินต่อไปด้วยความโล่งใจ แต่มันยังตามมาที่ทะเลสาบ โอ้ย หนีไม่พ้นจริงๆ
สุดท้าย ไอ้หมาตัวนี้แหละ กลายเป็นเพื่อนเราไปเที่ยวทะเลสาบตลอดทั้ง 3 วันเลย

เชื่อเลยว่า ถ้าตอนนั้นเราเอาแต่กลัว เราคงไม่ได้ออกไปถ่ายรูปทะเลสาบที่สวยงามอย่างนี้

และเพราะการเที่ยวทำให้เราเลิกกลัวหมา ตอนนี้สามารถเดินผ่านได้สบาย เมื่อก่อนแค่พุดเดิ้ล เรายังหลบเลย

บราซิล-เราเกือบไม่ได้เจอกัน

IMG_1095

ประเทศนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอาชญากรรมเยอะที่สุด อ่านรีวิวของฝรั่ง เจอปล้นบ้าง เจอทำร้ายร่างกาย ฆ่าก็มี. เกือบจะทิ้งตั๋ว เพราะความกลัว แต่ก็ตัดสินใจเดินทางไป. ถ้าทิ้ง เราก็คงพลาดโอกาสที่จะเห็นโลกใบนี้ไป

3. ไม่มีการเดินทางครั้งไหน ที่ไม่ต้องใช้ความอดทน

ในแต่ละทริปเจอความยากง่ายไม่เหมือนกัน. อุปสรรคแต่ละครั้งหนักเบาต่างกันออกไป แต่ความอดทนทำให้ทริปมันออกมาสวยงามเกือบทุกครั้งเสมอ

นอร์เวย์- แสงเหนือครั้งแรกในชีวิต

IMG_1102IMG_1103

ไปชมแสงเหนือที่นอร์เวย์ ไปคนเดียวอีกแล้ว แต่ไปจอยกลุ่มล่าแสงเหนือ ตอนออกล่าแสงเหนือ มือแทบจะขาด หนาวจับใจ กว่าจะตามหาแสงเหนือกันเจอ. ปาไปตี 2 นิดๆ กลับโรงแรมมา ตี 4
ระหว่างรอ ในใจพูดแต่คำเดียวว่า อดทน อดทน อดทน และความอดทนนี้แหละทำให้เราได้เห็นแสงเหนือ  คุ้มจริงๆที่อดทนรอ
นามิเบีย – Deadvlei หนึ่งเดียวในโลก

IMG_1104IMG_1105

เดินท่ามกลางทะเลทรายที่พร้อมจะแผดเผาเรา 20กิโลกว่า ยิ่งเดินเหมือนยิ่งไกลออกไป แต่เราผ่านมันมาได้เพราะความอดทน สุดท้ายได้มาเหยียบ Deadvlei – พี้นดินกระทะสีขาวที่แห้งแล้วที่สุดในโลก ต้นไม้ที่คุณเห็นมีอายุมากกว่า 900 ปี  ไกด์บอกว่าที่แห่งนี้มีที่เดียวในโลก

4. มิตรภาพจากคนแปลกหน้า ไม่ยากเลยที่จะเจอในต่างถิ่น

รัสเซีย – ยิ่งรู้จักยิ่งหลงรัก

IMG_1117IMG_1118 IMG_1122

คนรัสเซียเป็นคนยิ้มยาก หน้าบึ้ง ไม่ค่อยยิ้มแย้ม ตอนแรกก็เข้าใจว่า เขาคงจะไม่ชอบคุยกับคนเอเชียแบบเราซะเท่าไหร่ ไปซื้อของ ก็โดนแม่ค้าตะโกนใส่ 555+ ตอนนั้นโครตเกลียดคนประเทศนี้  แต่พอได้เริ่มเที่ยวจริงจัง คนรัสเซียน่ารักมาก ช่วยเหลือเรา ทั้งอาสาพาเที่ยวทั้งวัน  แบ่งขนม เข้ามาเตือนว่าเชือกรองเท้าหลุด ให้ผูกด้วย เดี๋ยวเธอจะเดินสะดุด ตอนไปไซบีเรียก็เช่นกัน มีคนรัสเซียมาชวนคุย บอกว่าอยากรู้จัก และอยากรู้ว่าเธอไม่กลัวหรอ มาเที่ยวคนเดียว จริงแล้วพวกเขาน่ารักมากเลยนะ ระหว่างตระเวนเที่ยวในเมืองมอสโคว์ ตอนนั้นเรานั่งเล่นในสวนสาธารณาอยู่ มีคุณป้ามาชวนคุย คุยไปคุยมา คุณป้าเขาเลยปรึกษาปัญหาชีวิต เรื่องแม่ผัว ลูกชายและลูกสะใภ้กับเรา นึกถึงที่ไร ตลกตัวเองเหมือนกัน  ประเทศนี้ยิ่งรู้จักยิ่งหลงรัก จริงๆแล้วก็ทำให้ได้คิดว่า

 
อาร์เจนติน่า – ไปคนเดียวไม่เคยเหงา

IMG_1123

IMG_1124IMG_1125
ไปคนเดียว แต่ได้เพื่อนไปเดินเทรคกิ้งด้วยกัน. สนุกมาก มีน้ำใจจากคนอื่นอีกเยอะที่ฉันได้รับ

 

จอร์เจีย – ดาราสาวจอร์เจียพาเที่ยว

IMG_1126IMG_1132

ไปคนเดียวอีกเช่นเคย แต่โชคชะตาดันพาไปรู้จักกับดาราสาวจอร์เจียโดยบังเอิญ เขาดังมากที่นั่น เขากับเพื่อนอาสาพาเราเที่ยวเมือง Tatev  ขอยกตัวอย่างบทสนทนาที่เราคุยกัน

ดาราสาว: ทำไมเธอถึงมาที่อาร์เมเนีย อาร์เมเนียเป็นประเทศเล็กๆ คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักที่นี่ด้วยซ้ำ อาร์เมเนียอยู่ส่วนไหนของโลกก็ยังไม่รู้เลย

อาหมวยท่องโลก:  ฉันหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต ข้อมูลน้อยมาก แต่มีหลายคนเขียนว่าประเทศนี้น่าสนใจ ฉันเลยเดินทางมาสัมผัสด้วยตัวเอง

ดาราสาว: แล้วเธอชอบที่นี่ไหม

อาหมวยท่องโลก:  ชอบสิ ฉันตั้งใจไว้ว่าฉันจะเขียนรีวิวเกี่ยวกับประเทศของเธอ คนไทยจะได้รู้จักอาร์เมเนียมากขึ้น

ดาราสาว:  ขอบคุณมากนะ ขอบคุณจริงๆ

สามารถพูดได้ว่าเราได้รับน้ำใจจากผู้คนท้องถิ่นและคนต่างชาติตลอดทุกประเทศเลย

5.  ในความโชคร้าย มันมีความโชคดีเล็กๆ ตามด้วยเสมอ

ไครเมีย (ประเทศยูเครน)  (แต่ตอนนี้เป็นของรัสเซีย) -ซวยกว่านี้มีอีกไหม

IMG_1138IMG_1137

อะไรมันจะซวยขนาดนั้น บินไปถึง ไฟดับทั้งเมือง สัญญาณโทรศัพท์และเนตเล่นไม่ได้ ติดต่อใครไม่ได้เลยอยู่หลายวัน เงินเหลืออยู่ 50 บาท เอทีเอ็มกดไม่ได้ เพราะอเมริกาแบนระบบบัตรเครดิตในไครเมีย ไม่มีเงินกินข้าว. ซวยยิ่งกว่าซวย แต่ในความโชคร้ายนั้นเรายังเจอความโชคดี เจ้าของโฮสเทลทำซุปกับขนมปังให้เรากิน และยังออกเงินค่ารถให้เรานั่งกลับไปชายแดนรัสเซียเพื่อกดเงิน
และแถมขากลับ เราโดนย้ายที่นั่งบนเครื่องบินจากที่นั่งEconomy ไป business (โชคดีเด้งที่ 2)

ชีวิตมันไม่ได้มีแต่ความโชคร้าย ความหวังคือสิ่งที่ทำให้เราอดทนรอได้ความโชคดีนั้นได้

6.  สติคือสิ่งที่สำคัญที่สุด

อาร์เมเนีย – โบกรถเที่ยวครั้งแรก

IMG_1128

IMG_1140

ตอนนั้นอยากลอง Hitchhiking (การโบกรถเที่ยว) ถามคนในโฮสเทล ผู้ชายสเปนกับจีน บอกว่า ลองเลย ปลอดภัย เขาทำกันทั้งนั้น แล้วพอดีว่าไปเที่ยวทะเลสาบ Sevan แล้วอยากไป Dilijan ไม่มีรถไปรอบเช้า มีแต่รอบ 1 ทุ่ม. เราเลยลองโบกรถ นาทีที่โบกรถ โอ้ย ตื่นเต้นมาก โบกคันแรก เขาไปไม่ถึง เลยโบกคันที่ 2 ฝนตก เลยรีบขึ้นไป คนขับมันให้เรานั่งข้างมัน ลืมเอะใจ เข้าไปปั๊ป สัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล มันถามเราเป็นภาษาอาร์เมเนีย. เราตอบเป็นรัสเซีย ว่าไม่รู้เรื่อง มันทำท่ากระทุ้งเข้าไปที่อวัยวะให้ดู สื่อประมาณว่า อยากมีเซ็กกับมันไหม ไอ้เราแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ ถามไปว่าอะไรนะ. อะไรนะ ตอนนั้นเริ่มสังเกตได้ว่ามันไม่ล้อครถ มือด้านซ้ายหยิบสเปย์พริกไทยที่พกมา คราวนี้มันยื่นมือข้างหนึ่งมาจับขาเรา เราเบี่ยง คราวนี้มันจะจับบ่าเรา เราเปิดประตูแล้ววิ่งลงไปเลย เรามายืนข้างถนน หลังรถมัน เตรียมตั้งท่าสู้ ในมือเตรียมสเปรย์พริกไทยไว้แล้ว แต่สุดท้ายมันขับต่อไป โชคดีที่ยังมีสติในการเอาตัวรอด และพระยังคุ้มครองอาหมวยท่องโลกคนนี้อยู่

แล้วเราก็โบกรถคันที่ 3 ต่อ แต่เลือกคันที่เป็นครอบครัว. ส่งถึงที่ แถมลูกชายเขายังอาสาอยู่รอรับไปส่งที่ Yerevan แต่เราปฎิเสธด้วยความเกรงใจ ระหว่างเดินทางอยู่ในเมือง ถามทางเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง (อายุ 18 ปี) เขาอาสาพาเราเที่ยว แต่ขอให้เราพูดภาษาอังกฤษกับเขา เพราะเขาอยากฝึกพูดภาษาอังกฤษ

จากเหตุการณ์ตรงนี้ทำให้เรามีสติและรอบคอบมากกว่าเดิม

ปล. แม่ยังไม่รู้เรื่องนี้ แต่หลังจากกระทู้นี้ออกไป อาจจะโดนด่าได้

 

อิตาลีและนครรัฐวาติกัน

IMG_1141IMG_1142

โจรเยอะ เจอยิปซีด้วย แต่รอดมาได้ด้วยสติ และสติ

7. ชีวิตเรียบง่ายมากขึ้นเมื่อฉันได้ออกเดินทาง

นี่คือเรื่องจริง ยิ่งฉันเที่ยว ก็ยิ่งติดดิน อะไรก็ได้ ไม่ต้องมากเรื่อง ชีวิตเรียบง่ายมากขึ้นเมื่อเราเริ่มออกเดินทาง
มองโกเลีย – ชีวิต Nomad เรียบง่ายแต่สุขใจ

IMG_1144IMG_1143

ขี้กลางดิน กินกลางทราย. ชีวิตเรียบง่ายแบบ Nomad น้ำไม่ได้อาบ ผมไม่ได้สระ หาที่ขับถ่ายตามภูเขา ตามพื้นดิน ไปอยู่กับชนเผ่า Nomad. เกือบ 10 วัน ชอบมาก ชีวิตที่เรียบง่าย ไม่มีความสบายเลย แต่ทำไมมีความสุขก็ไม่รู้

ถ้าเป็นเมื่อก่อน พูดเลยว่า อยู่ไม่ได้ 555+

พอย้อนมองดูตัวเรา รู้สึกหลงรักในวิถีชีวิตของเราที่เรียบง่ายแบบนี้

8. อย่าผลักความฝันไปสู่ทางที่สิ้นหวัง
โบลิเวีย – อย่าผลักไสความฝันของเราออกไป

IMG_1170IMG_1172

ตอนแรกที่เห็นภาพทะเลสาบเกลือ เราคิดว่า เราคงไม่ได้ไป มันดูห่างไกล ดูยุ่งยาก ดูน่ากลัว ในใจเหมือนมี 2 เสียง

เสียงหนึ่งบอกว่า แกจะไปทำไม แพงก็แพง อันตราย เพื่อนก็ไม่มี ตอนหลังแกไปพร้อมกับคนอื่นก็ได้
อีกเสียงบอกว่า รอคนอื่น ชาตินี้แกจะได้ไปไหม มันคือความฝันแกไม่ใช่หรอที่จะไปเหยียบที่แห่งนี้

แน่นอนว่า เราเชื่อเสียงที่ 2 จึงได้เริ่มเก็บเงินจากการทำงานพิเศษ ตัดสินใจซื้อตั๋วไปโดยที่ยังไม่ได้วางแพลนการเดินทาง ตอนนั้นเราได้เรียนรู้ว่า อย่าผลักความฝันของเราออกไป เพราะไม่แน่ว่าคุณอาจไม่ได้ทำตามที่คุณฝัน มีโอกาส มีเวลา ต้องลุย อย่าลังเล

เชค – ความฝันที่ค้างคา

IMG_1173

อกหักจากเพื่อนเกาหลีที่วางแพลนจะไปด้วยกัน  ถึงเราไม่ได้ไปด้วยกัน แต่ฉันก็สานความฝันของฉันต่อนะ  ความฝันที่ค้างคาถูกสานต่อได้ในที่สุด

9. ปัญหาและอุปสรรคคือสิ่งที่เราพบเจอได้ตลอด เพราะฉะนั้นอย่ากลัวที่จะเจอมัน

ตลอดเกือบทุกทริป มีปัญหาเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง อุปสรรคเล็กๆน้อยมีมาตลอด ไม่ว่าจะเป็น เราไม่รู้ภาษาบ้าง เจอคนไม่ดี สถานที่เที่ยวปิดเพราะตรงวันหยุด ตกรถ ตกเครื่องบิน ภูเขาไฟระเบิด รถบัสเลยไม่วิ่ง (สารพัดปัญหาเลยก็ว่าได้) แต่รู้ไหมคะว่า เพราะว่าเราเจอปัญหาสารพัดนี่แหละ มันทำให้เราเรียนรู้ที่จะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี แถมยังมีภูมิต้านทานต่อปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นมาแบบไม่ทันตั้งตัว

ตอนแรกอาหมวยท่องโลกมีแต่คำบ่น ทำไมว่ะ ทำไมต้องแบบนี้ แต่เมื่อเราเจอปัญหาเล็กๆน้อยในระหว่างทริปไปเรื่อยๆ เราเริ่มเรียนรู้ที่จะยอมรับมัน เลิกบ่น และหาทางแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้ดีที่สุด ปัญหาไหนมันแก้ไม่ได้ เราเลือกที่จะปล่อยวาง

สวิสเซอร์แลนด์ – ในวันที่เสียตั๋วแพงมากขึ้นภูเขาไป แต่ไม่เห็นอะไรเลย 

แหม อุตสาห์หอบสังขารขึ้นไปบน Jungfraujoch จุดสูงสุงของยุโรป หวังจะได้ภาพฟ้าใส พระอาทิตย์ส่องแสงเป็นประกาย เหมือนในเอ็มวีเพลงต่างๆ

ไม่จ้ะ ดูภาพที่ได้

IMG_1156
อึมครึมกว่านี้มีอีกไหม เสียดายนะ แต่ไม่เสียใจ เพราะเราคิดว่าตราบไหนที่ไฟในการเดินทางเรายังไม่มอดไหม้ไป เราก็มีโอกาสที่จะได้กลับมาที่นี่อีก

IMG_1155IMG_1157

นอกจากนี้เรายังเคยตกเครื่องบินจากฟิลิปปินส์มาไทยด้วยค่ะ วันนั้นไปชมภูเขาไฟ ขากลับมาสนามบิน รถติดมากถึงมากที่สุด ติดแบบไม่ได้พุดไม่ได้เกิด  มาถึงสนามบิน ที่เชคอินเขาไม่ให้เชคอินแล้ว ทำใจร่มๆ  แล้วไปซื้อตั๋วใหม่ค่ะ นอนรอที่สนามบินไปคืนหนึ่ง  จากนั้นไม่เคยตกอีกเลย เพราะวันที่จะบินกลับ เราจะเที่ยวแต่ในเมือง หรือจะให้ปล่อยให้เป็นวันชิวๆ  ไม่ออกไปนอกเมือง  เพื่อเวลาที่สนามบินเสมอ กันการตกเครื่อง คิดในแง่ดี ประสบการณ์การตกเครื่อง นักเดินทางต้องมีบ้างแหละ

10. เที่ยวได้ เพลินได้ แต่เราต้องระมัดระวังตัวอยู่เสมอ

อันนี้ขาดไม่ได้เลย สำหรับการเที่ยวคนเดียว. ไม่ว่าคุณจะดื่มด่ำกับความสวยงามของประเทศนั้นๆขนาดไหน คุณต้องระมัดระวังตัวไว้เสมอ ในช่วงวินาทีเดียว เหตุการณ์ไม่คาดฝันอาจเกิดขึ้นได้ พูดได้เลยว่าไม่มีที่ไหนปลอดภัยหรืออันตรายร้อยเปอร์เซ็นต์ ระมัดระวังตัวไว้ดีที่สุด แต่ก็อย่าระแวงเกินไป

ฮังการี – นาฬิกาหายหรอจ้ะ?

IMG_1158IMG_1159

ตอนเดินเที่ยวอยู่ในเมือง 2 ข้างทางสวยมาก เพลินสิ แต่เราก็คอยมองผู้คนรอบๆเป็นระยะ. พอเราเลี้ยวเข้าหัวมุมจะไปโรงแรม มีผู้ชายคนหนึ่งโผ่ลมา จับแขนเรา ด้วยความตกใจ เราร้องกรี้ดเสียงดังมาก เขาหยุดกึก แล้วถามเราว่า ตอนนี้กี่โมง เราตอบไม่รู้ แล้ววิ่งไป เราว่าเขาคือมิจฉาชีพ แต่อาจจะด้วยเสียงกรี้ดเรา เขาตกใจ เขาเลยแกล้งถามเวลา
ชวร์ยิ่งกว่าชวร์ เพราะที่ข้อมือเขาก็มีนาฬิกา และจะถามเวลาทำไมฟะ

11.  ประสบการณ์ไม่ดี เป็นแนวทางให้เราได้
ลาว -10 บาทก็ยังจะโกงกัน

IMG_1168

โดนโกงค่ะ แค่ 10 บาทก็ยังจะโกงกัน. แต่การโกงของที่นี่ทำให้เราไม่ถูกโกงอีกเลย. ก็ฉันรู้ทริคการโกงของพวกแกแล้วไง

เยอรมัน – ทำไมทอนเงินหนูไม่ครบ

IMG_1164IMG_1167

โดนโกงค่าตั๋ว นับแล้วบอกเจ้าหน้าที่เลยว่าไม่ครบ เจ้าหน้าที่ทำมึน ไม่คืน  หรือ เจ้าหน้าที่อาจจะไม่ได้โกงก็ได้อาจเป็นความผิดพลาด  เลยคิดว่า บางอย่างเราก็ต้องต้องปล่อยวาง ถือไว้มันก็หนัก

12. ยิ่งหลง ยิ่งแม่น ยิ่งสังเกต

ถ้าคุณเดินทาง คุณจะรู้ว่าการหลงทางเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประจำ ยิ่งเราหลง เรายิ่งจำทางแม่น อันนี้ใช้ได้กับตัวเราเอง ทริปแรกๆ เราหลงกระจุยกระจาย ตอนหลังคล่องมากค่ะ เพราะในทริปแรกที่เราหลงบ่อยๆ ทำให้เรารู้จักสังเกต จดจำรายละเอียดรอบตัวมากขึ้น

อังกฤษ -หลงมันไปสิในเมือง

IMG_1174

แอบหลงทางในเมืองหลวง แต่วันต่อๆมา ก็คล่องพอตัวเลยค่ะ เพราะเมื่อเราหลง ครั้งๆต่อๆไป เราจะสังเกตจำจำรายละเอียดมากขึ้นในทุกครั้ง

13.  เพราะการที่เราวางแพลนเที่ยวเอง ทำให้เรารู้อะไรมากขึ้น และสามารถแนะนำคนอื่นได้ด้วย แม้กระทั่งแนะนำคนท้องถิ่น
สโลวาเนีย – บอกทางคนท้องถิ่น

IMG_1181

ระหว่างนั่งรถไฟจาก Bled เข้ามาเมืองหลวง มีโอกาสได้รู้จักกับป้าชาวโรมาเนียคนหนึ่ง นั่งพูดคุยกันมาตลอดทาง คุณป้าแบ่งขนมให้เรากินด้วย เมื่อมาถึงเมืองหลวง เขาสอบถามวิธีการเดินทางไปใจกลางเมือง เพราะเขานานๆที เดินทางเข้าเมือง เราทั้งแนะนำและพาไป เป็นความภูมิใจเล็กๆ”ถ้าไม่วางแพลนเดินทางเอง เราเอาแต่ไปกับทัวร์ เราคงช่วยป้าคนนี้ไม่ได้”

14. เมื่อเราเที่ยวกับคนอื่น เราต้องรู้จักละตัวตนของเราทิ้ง

เพราะการเที่ยวคนเดียว มันทำให้เราตามใจตัวเราได้เต็มที่ ไม่ต้องคอยถามความคิดเห็น คอยตามใคร แต่พอเราเจอเพื่อนใหม่ตามประเทศต่างๆ เราเริ่มไปเที่ยวด้วยกันกับเพื่อนใหม่ที่พึ่งเจอ มันเลยทำให้เรารู้ว่า เราต้องละตัวตนของเราทิ้งบ้าง ต้องตกลงซึ่งกันและกัน คนละครึ่งทาง
ถึงแม้ว่าต่างคนต่างที่มา ต่างคนต่างรสนิยม แต่จะมีเส้นตรงกลางผูกเราและเพื่อนให้ไปด้วยกันได้อย่างมีความสุข เส้นนั้นคือ การละตัวตนของตัวเองทิ้งบ้าง เพื่อเปิดรับตัวตนของคนที่ร่วมทริปกับคุณ
แอฟริกาใต้ – ทริปนี้ไม่เหงาเพราะมีเรา

IMG_1177

ทริปนี้ไปกับเพื่อน. สนุกมาก เพราะตัวเราและเพื่อนเองที่เรียนรู้ที่จะรอ ถามความคิดเห็นของกันและกัน เอาใจเขามาใส่ใจเรา

ไต้หวัน – ทำไมถึงพึ่งรู้จักกัน

IMG_1178

ไปกับเพื่อนค่ะ มีบ้างที่ไม่พอใจซึ่งกันและกัน
แต่เราทั้งคู่รู้จักที่จะเปิดใจ คุยกัน สุดท้ายทริปมันก็แฮปปี้สวยงามในแบบที่มันควรจะเป็น

สำหรับคนที่เที่ยวเองเป็นประจำ ชอบทำตามใจตัวเอง ไม่ชอบการกฎเกณฑ์อะไรทั้งสิ้น มันไม่ง่ายเลยที่จะทำตามใจคนอื่นในบ้างครั้ง มันไม่ง่ายที่จะต้องรอ หรือถามความคิดเห็นของอีกฝ่ายว่าเห็นด้วยไหม  แต่ต้องของคุณการท่องเที่ยว ทำให้เราได้รู้จักคำว่า การละตัวตนของเราเองเพื่อเปิดรับตัวตนของอีกฝ่าย

15. การเดินทางคือแรงบันดาลใจ
เบื่อกับปัญหา เบื่อกับสังคม เบื่อกับการเรียน เบื่อกับทุกสิ่ง รู้สึกว่า เบื่อๆๆๆ เบื่อมันไปซะหมด ไม่อยากจะทำอะไรเลย แค่ลองออกเดินทางไปที่ไหนสักที แล้วกลับมายืนที่เดิมที่คุณหนีมันไป มุมมองของคุณเปลื่ยนไปมากจริงๆ เพราะถ้าคุณอยู่ตรงที่เดิม ไปออกไปไหน คุณก็จะโฟกัสอยู่แต่สิ่งคุณเบื่อ ปัญหาที่คุณเจอ

กำลังใจ ความสุข ที่ได้จากการเที่ยว มันทำให้เรามีแรงสู้ต่อ เรามีความเชื่ออยู่เสมอ ว่าการเดินทางต่อเติมแรงบันดาลใจให้กับเรา
เอสโตเนีย- ประเทศเล็กๆแสนน่ารัก

IMG_1179IMG_1184

ตอนนั้นเบื่อๆๆๆ ชีวิต เบื่อกับการเรียนที่หนักหนาสาหัส ตัดสินใจออกทริป ไปเที่ยว. พอกลับมาแล้ว มีกำลังใจในการเรียนต่อเยอะเลย ตั้งแต่นั้นมา เลยใช้ทริคนี้เสมอ เหนื่อย เบื่อ ท้อ. ออกต่างจังหวัดบ้าง ออกต่างประเทศบ้าง เพื่อให้ตัวเองได้เปลื่ยนสถานที่ เปลื่ยนบรรยากาศ เพื่อกลับมาสู้ปัญหาที่ค้างค้า

ญี่ปุ่น – ซากุระแรกในชีวิต

IMG_1185IMG_1186

แค่เปลื่ยนที่ เปลื่ยนบรรยากาศ อารมณ์ก็เปลี่ยนได้. ตอนนั้นมีปัญหาในใจตัวเอง พอได้ตกตะกอนความคิดในจิตใจและได้ออกไปเที่ยวเพื่อเปลื่ยนบรรยากาศ ความอึดอัดในใจของเราหายไปเลย. กลับมาที่เดิม แต่มุมมองเปลื่ยน

ไม่เคยคิดว่าการออกเที่ยวเองจะให้ข้อคิด ให้ความสุขกับเราได้ขนาดนี้ ถ้าถามว่าเราเปลื่ยนไปไหม. เราตอบได้เลยว่า เปลี่ยน เราค้นพบตัวเองว่าเราชอบอิสระมากขนาดไหน เราชอบที่จะถ่ายรูปตะเวนเก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปเรื่อยๆ เราเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เข้าใจคำว่าชีวิตมากขึ้นผ่านการท่องเที่ยว ติดดิน ไม่เรื่องมากเหมือนเมื่อก่อน เมื่อก่อนโน่นนี่ สกปรก ก็ไม่เอา นอนกลางทราย ถ่ายอุจจาระตามหุบเขาต่างๆ คงทำไม่ได้ การเดินทางทำให้ ความกลัว ความกังวล และเงื่อนไขในตัวเราเองที่มันเยอะมากลดหายไป ที่ละนิด ที่ละนิด จนเรารู้สึกว่า เห้ย เราเปลื่ยนไปได้ขนาดนี้เลยหรอ  

ความกล้า – คืออีกสิ่งที่การเดินทางมอบให้ ยิ่งเราออกเดินทาง เรายิ่งกล้ามากขึ้น มีความมั่นใจมากขึ้น. อีกทั้งเรายังรู้จักระมัดระตัว และรอบคอบ ช่างสังเกตมากขึ้นกว่าเดิมเยอะ

และที่สำคัญ เราได้รู้ว่าโลกใบมีสิ่งที่น่าสนใจมากมายที่รอเราให้ออกไปค้นหา ตอนที่เราออกเที่ยว เราประหลาดใจ ประทับใจในประเทศต่างๆ และผู้คนอยู่บ่อยครั้ง

เห้ย มีแบบนี้ด้วย โห ประเทศเขาเจริญมากเลยนะเนี่ย เฮ้ย นี่คือวัฒนธรรมของประเทศเขาหรอ เห้ย. ทำไมคนเขาใจดีกับเราแบบนี้อ่ะ.ความประหลาดใจและความประทับใจมากมายนับไม่ถ้วน ยิ่งเที่ยวยิ่งประทับใจ ยิ่งหลงใหล ยิ่งประหลาดใจกับสิ่งที่เราได้พบเจอ เราค้นพบว่าเมื่อก่อนตัวเราเองอยู่ในกรอบแคบๆ ที่รายล้อมด้วยกำแพงแห่งความกลัวที่เราสร้างขึ้นมา เมื่อออกสู่โลกกว้าง โลกแห่งความคิด โลกแห่งจินตนาการเรากว้างขึ้น มุมมองในชีวิตเรากว้างขึ้น จริงๆแล้ว เราเรียนรู้ชีวิตผ่านการท่องเที่ยว


เราคิดแค่ว่า ชีวิตนี้มีชีวิตเดียว เราขอออกเดินทางค้นพบโลกใหม่ๆ สัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ๆ แลกเปลี่ยนจิตใจกับผู้คน เรียนรู้และเติบโตต่อไปในแบบที่เราเป็น ในสิ่งที่เราใช่ ผ่านการท่องเที่ยว

ทุกครั้งที่นึกถึงประสบการณ์ที่ผ่านมา เหตุการณ์ต่างๆ ตลอดระยะเวลาที่เที่ยวมาเรื่อยๆ มันมีความสุขมาก มันมีความหมายต่อเราอย่างบอกไม่ถูก เราไม่สามารถอธิบายความรู้สึกนี้เป็นตัวอักษรได้ รู้แต่ว่ามันอิ่มเอมหัวใจยิ่งนัก

อย่ามองว่าการเดินทางมีแต่จะทำให้คุณเสียเงิน เสียเวลา อย่ากลัวว่าคุณจะต้องพบเจอปัญหาในต่างถิ่น อย่ากลัวว่าคุณจะทำมันไม่ได้ เพียงแค่คุณตัดสินใจก้าวออกจาก Comfort zone คุณก็ใกล้เข้าสู่เส้นชัยแล้ว รอเพียงแค่คุณได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่รอคุณอยู่ข้างหน้าที่คุณไม่รู้ว่าคุณจะต้องเจอกับอะไร เพียงแค่นั้น คุณจะพบความหมายของการเดินทาง คุณจะรู้ว่าทำไม ฉันถึงต้องเดินทาง เราเดินทางเพื่ออะไร และเราได้อะไรจากการเดินทาง

ถ้าใครอยากได้ข้อมูลของแต่ละประเทศ หรืออยากแชร์ประสบการณ์ของตัวเองให้เราฟัง เข้าไปที่เพจได้ค่ะ >>>>>>>>>>>>>>>>>>>> อาหมวยท่องโลก

นามิเบีย ไปเถอะ มันดีต่อใจ ฉบับ อาหมวยท่องโลก

IMG_0297.JPG

ประเทศนามิเบีย พูดไปหลายคนคงถามว่า มันคือที่ไหน มันมีอะไร อย่าว่าแต่คุณเลย เราก็เป็น จินตนาการไว้ว่า ต้องทุลักทุเล กันดาร ห่างไกลความเจริญ ลำบากลำบากๆ น้ำสกปรก อาหารต้องดิบๆ เถื่อนๆแน่ ถึงขั้นเราเตรียมโร่ซ่าพร้อมอาหารสำเร็จรูปจากประเทศไทยไป เพราะกลัวจะต้องกินเนื้อครึ่งสุก ครึ่งดิบ 555+ อ่านรีวิวของฝรั่งมา ก็บอกว่าที่นั่นชอบกินเนื้อไม่สุก มีเลือด ยิ่งคิดไปไกลเลย ภาพกินสเต็กไป เลือดอาบเต็มปาก 55+ จินตนาการของคนเราไปได้ไกลสุดจริงๆ

มาเข้าเรื่องกันดีกว่า ทริปนี้เกิดได้อย่างไร

– มีการเปลื่ยนแปลงทริปที่จะชมไปแสงเหนือที่ไอซแลนด์ สมาชิกไม่พอ เลยยกเลิกทริปไปก่อน เพื่อนเราคนหนึ่งได้พูดขึ้นมาว่า เห้ย กรูอยากไปเคปทาวน์ ไอ้เราก็ตอบไปว่า ไปก็ไปดิ  การเดินทางจึงได้เริ่มต้นขึ้น. พอหาข้อมูลไป เจอสถานที่เที่ยวในนามิเบีย แปลก น่าสนใจ เราเลยชวนเพื่อนบินไปเที่ยวนามิเบียด้วย

ทำไมถึงไปนามิเบีย

 

เราอยากไปที่นี่ Deadvlei ดินแดนที่ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนที่แห้งแล้วที่สุด จนพื้นดินแห้งแตกระแหงเป็นกระทะดินสีขาว. มีต้นไม้ Acacia Erioloba ที่มีอายุกว่า 900 ปีมา
แล้ว ที่แห่งนี้เกินขึ้นได้เพราะ น้ำท่วมจากแม่น้ำ Tsauchab จนทำให้ต้น Acacia Erioloba เจริญเติบโต ต่อมาอากาศเปลี่ยน พื้นทรายก็ถล่มจนน้ำไม่สามารถเข้าถึงพื้นทีตรงนี้ได้ ต้นไม้เหล่านี้ก็ยังคงอยู่ที่นี่จนถึงทุกวันนี้

คงมีคำถามว่า ทำไมมันไม่ตายล่ะ?

มันตายไปแล้วค่ะ ตามชื่อของมันเลย แต่ไม่ล้มลง เพราะมันแห้งแล้งมากนั้นเอง

ไกด์บอกว่าพื้นกระทะดินสีขาวตรงนี้มีหนึ่งเดียวในโลก กิ้วๆๆ อยากให้อิฉันไปเจอที่อื่นนะคะ จะโทรไปหาเลย

อากาศ

โครตร้อน พูดเลย. กลับมาไม่ดำก็ให้รู้ไป

อาหาร

อร่อยอ่ะ ไม่คิดไม่ฝันว่าเนื้อ Oryx จะอร่อยขนาดนี้ สะอาด อาหารอออกสไตย์ยุโรป เสต็ก ซุป ของหวาน ผลไม้ มีบุฟเฟย์ทั้งกลางวันและกลางคืน

เนื้อ Kudu และ Springbok ก็อร่อย ไกด์แนะนำ

เนื้อวัวไม่เหม็นกินได้ อร่อย มีเหม็นแค่เนื้อวัวในมื้ออาหารของสายการบิน Namibia Air

เนื้อไก่ เนื้อหมูมีแต่ไม่ได้นิยมกันในประเทศนี้

รับประกันอาหารไม่ดิบไม่เถื่อน กินได้ทุกอย่าง

ของหวานที่นี่มักเป็นคัสตาร์ด และเค้ก อร่อยดี ชอบ

ผลไม้อร่อยนะ
มาดูภาพสัตว์น้อยผู้น่ารัก ที่คนนามิเบียเอามาทำเนื้อเสต็กกัน

1. Kudu

IMG_0278

2. Oryx

IMG_0279

3. Springbok

IMG_0280

Credit: google.com

น้ำ

น้ำสะอาด ใช้อาบน้ำ แปรงฟังได้ปกติ แต่ไม่แนะนำให้กินน้ำจากก๊อก ซื้อน้ำเปล่าเป็นขวดกิน

ของกินอื่น

มีพวกโยเกิร์ต น้ำผลไม้ มีให้เลือกเยอะมาก คนชอบพวกน้ำผลไม้ตระกูลเบอรี่ คือสวรรค์เลย ไอศครีมของประเทศเขาก็อร่อยค่ะ ลองชิมไปถังหนึ่ง (ถังเล็กนะ อย่าพึ่งตกใจ) ทุกอย่างหาซื้อได้ภายในซุปเปอรมาร์เก็ต พวกเราเลือกชิมแต่ของที่ผลิตในนามิเบียเท่านั้น
ส่วนพวกขนมทั้งหลาย นำเข้าจากประเทศแอฟริกาใต้จ้ะ

หน่วยเงิน

ใช้เงินนามิเบียได้หรือจะใช้เงินแรนด์ของแอฟริกาใต้ได้เลย แต่ก่อนกลับไทยต้องแลกเงินนามิเบียให้เป็นแรนด์ก่อนนะ ที่ไทยไม่มีเงินนามิเบียให้แลกคืน

การเดินทาง

ขับรถเที่ยวเอง หรือจะจ้างไกด์ส่วนตัวก็ได้
ขับรถเที่ยวเองจะประหยัดค่าใช้จ่ายไปเยอะอยู่ ถ้าขับรถเอง ควรถึงจุดหมายก่อนฟ้ามืด ดูแผนที่ดีๆ ที่นี่มีคนหลงเยอะเหมือนกัน ไกด์บอกว่า จีพีเอส ก็พาไปมั่วได้ในหลายที่ ตัวเขาเองดูแผนที่ค่ะ

ความปลอดภัย

นามิเบียถือว่าเป็นประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในทวีปแอฟริกาใต้ แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ควรประมาท. เพราะไกด์บอกว่า ในเมือง Windhoek ตอนเขาพาเด็กนักเรียนต่างชาติมาทัศนศึกษาเมื่อปีที่แล้ว โจรได้ทุบกระจกรถบัสแล้วขโมยกระเป๋าเป้ไป ภายในช่วงเวลา 1 ชั่วโมง

การทำวีซ่า

ที่ไทยไม่มีสถานทูตนามิเบีย เลยต้องส่งเอกสารไปที่สถานทูตนามิเบียที่มาเลเซีย

เอกสารที่ต้องใช้

1.พาสปอรต์ตัวจริง ( และต้องซีหน้าแรกด้วย)
2.  รูปถ่าย4 ขนาดเท่าพาสปอรต์ 2 รูป

3. ตั๋วไปกลับและที่พัก

4. ก้อปปี้บัตรเครดิตการด์ บัตรเดบิทก็ใช้ได้

5. เงินค่าทำวีซ่า 75$ ให้แลกเป็น ดอรลาร์ไป

ทุกอย่างรวมถึงเงินส่งไปในซอง ใช้บริการ fed-ex ส่งให้เขาไปรับให้เราที่สถานทูต

ไปกี่วัน กี่ประเทศ  (ได้เที่ยวเต็ม วัน 8 วัน) 

– ไป 10 วัน 2 ประเทศ
1. ประเทศแอฟริกาใต้
2. ประเทศนามิเบีย

แพลนการเดินทาง

วันที่ 1 – fly to Johannesburg

วันที่ 2 – Johannesburg
วันที่ 3 – Johannesburg
วันที่ 4 – fly to Windhoek( เมืองหลวงของประเทศนามเบีย) เที่ยวในตัวเมือง และออกเดินทางไป Solitaire

วันที่ 5 Sossusvlei and sesriem Canyon

วันที่ 6 lake in Namibia, in the evening fly to Cape Town

วันที่ 7 Cape Town

วันที่ 8 Cape Town, evening flight to Johannesburg

วันที่ 9 shopping in Johannesburg , fly back to Bangkok

วันที่ 10 – arrive in Bangkok

ค่าใช้จ่ายตลอดทั้ง10 วัน

ไม่รวม pocket money = 70700 บาท

รายละเอียดดังนี้

1. ค่าตั๋ว

ตั๋วในประเทศ =12210 บาท (1. ตั๋วจากโจฮันส ไป วินฮุค 2. ตั๋วจากวินฮุคไป เคปทาวน์ 3. ตั๋วจากเคปทาวน์ไปโจฮัน)
ตั๋วบินจากไทย สายการบินสิงค์โปรแอร์ไลน์ ซื้อตอนโปรโมชั่น = 28000 บาท
2. ค่าโรงแรม
1. ค่าโรงแรมในโจฮันส์ 3คืน(ต่อคน)
2. ค่าโรงแรมในเคปทาวน์ 2 คืน (ต่อคน)
3. ค่าโรงแรมในนาบีเมีย 2 คืน (ต่อคน)

=10850  บาท (ต่อคน)

3. ค่าทัวร์
1. ค่า ไกด์+คนขับรถในนาบิเมีย 2คืน 3 วัน = 30000 (หาร 2 = 15000)=15000  บาทต่อคน

4. ค่าใช้จ่ายจิปาถะ

1. ค่าทำวีซ่านาบิเมีย =2700 บาท
2. ค่าส่ง fed-ex ส่งพาสปรอต์ไปที่สถานทูตนามิเบียที่มาเลยเซีย=1250 (ไปกัน 2 คน) =1250/2 = 625 ต่อคน
3. ค่าประกันการเดินทาง =1052

และ
Pocket money แยกต่างหาก 20000 บาท (ซื้อของฝาก, ค่าอาหาร, ค่ารถ hop on เที่ยวในเมือง)

มาดูรีวิวสถานที่ท่องเที่ยวกันดีกว่า 

ลดขนาดและรายละเอียดภาพลง เพื่อความรวดเร็วในการโหลดนะคะ

 

วันแรก

วันแรกในนามิเบีย เราบินกันมาถึงตอน 11โมง นัดพบกับไกด์
นี่คือโฉมหน้าของไกด์ เขาเป็นทั้งไกด์และคนขับรถไปในตัวเลย. คุณแอนดรู น่ารัก เทคแคร์ดี พวกเราใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารกับไกด์ค่ะ

Processed with VSCO with a8 preset

ภาพนี้ถ่ายวันกลับ พวกเราดำขึ้นจากเดิมเยอะเลยทีเดียว

โปรมแกรมในวันแรก คือเที่ยวชมเมือง Windhoek เมืองหลวงของนามิเบียนั้นเอง

ที่แรกที่เราไปคือ

Christ Church

IMG_0412

โบสถ์นิกายลูเทอแรน (หนึ่งในนิกายของคริสต์โปรเตรแตนต์) สถาปนิกชาวเยอรมันเป็นคนออกแบบ โบสถ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในช่วงสงครามระหว่างเยอรมันกับชนเผ่านามิเบีย

IMG_0410

ตรงข้ามโบสถ์ เคยเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์ทหารเยอรมัน แต่ตอนนี้ได้ย้ายอนุสาวรีย์นี้ไปเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์(ร้าง) และสร้างอนุสาวรีย์ Independence Memorial Museumมาแทนที่

ถ้าพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนามิเบีย และเยอรมัน เราไม่อาจตอบได้แน่ชัด แต่ถ้าถามถึงความรู้สึกของคนนามิเบียที่มีต่อเยอรมันนั้น บอกได้ว่า ชาวนามิเบียไม่ชอบเยอรมัน เนื่องมาจากเหตุการณ์ในอดีต ที่เยอรมันกดขี่พวกเขาในช่วงศตวรรษที่ 19

Independence Memorial Museum.

IMG_0411

ตรงนี้คือ Independence Memorial Museum. อยู่ตรงข้ามกับ Christ Church  มีรูปปั้นของ Dr. Sam Nujoma ประธานาธิบดีคนแรกของนามิเบีย และเป็นผู้นำคนสำคัญขับเคลื่อนให้นามิเบียเป็นอิสระจากประเทศแอฟริกาใต้

ไกด์เดินนำพวกเราไปพิพิธภัณฑ์ (ร้าง) ที่อยู่ด้านข้าง Independence Memorial Museum

ปัจจุบันเป็นที่เก็บรถม้า และอนุสาวรีย์ทหารเยอรมัน

IMG_0404

ต่อไปเราเดินไปที่

IMG_0413

อนุสาวรีย์แห่งสงคราม ตั้งอยู่ในสวนเล็กๆไม่ไกลจาก Christ Church ไกด์บอกว่า อาจจะรื้อถอนอนุสาวรีย์แห่งนี้ เพราะเยอรมันสั่งให้สร้างขึ้นให้กับนายทหารเยอรมันที่เสียชีวิตในการต่อสู้กับพวกของ Witbooi

เราฟังแล้ว ก็ โหย โหดอ่ะ นี่เขาเรียกว่า เกลียดแบบไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดเลยใช่ไหม

Witbooi คือใคร

Hendrik Witbooi คือฮีโร่ของนามิเบีย ในสมัยที่เขามีชีวิตอยู่ เขาปลุกระดม รวมรวบกำลังพลเพื่อต่อสู้กับรัฐบาลเยอรมัน ในสงครามเยอรมัน-นามิเบีย 1904-1905 มีคนเข้าร่วมกับ Witbooi เป็นจำนวนมาก ด้วยความหวังที่จะไม่ต้องโดนกดขี่จากเยอรมันอีกต่อไป ในสงครามครั้งนั้น ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก และ Witbooi ถูกฆ่าตายในปี 1905 ถึงแม้ว่า Witbooi จะตายไปแล้ว แต่เขายังเป็นฮีโร่ในใจประชาชนนามิเบียตลอดมา
จากนั้นไกด์พาไปร้านอาหารที่แนะนำของที่นี่. ระหว่างทางที่ขับไป ผ่านบ้านประธานาธิบดีด้วย แต่ไกด์บอกว่าเขาไม่ให้จอดถ่ายรูป

ไกด์พามากินที่ ร้าน Joe’s beer house แนะนำ อาหารอร่อย ให้เยอะ จนเราต้องเอาขอห่อกลับไปกินที่ที่พัก. พวกเราตัดสินใจเลี้ยงคนขับ ซึ่งความจริงทางบริษัทได้คิดค่าบริการแยกต่างหากไว้แล้ว เลี้ยงแค่มื้อนี้มื้อเดียวแหละ มื้ออื่นไม่ได้เลี้ยง
มาดูบรรยากาศในร้านกัน

IMG_0332IMG_0333IMG_0334

ราคาเสต็กอยู่ที่ 150-300 แรนด์ รสชาติดีนะ

IMG_0338

จากนั้นเราแวะซื้อของที่ซุปเปอร์ เพื่อนชื่อน้ำผลไม้เบอรี่เยอะมาก นางชอบ ส่วนเราซื้อไอศครีม 1 ถังเล็ก และน้ำดื่ม น้ำผลไม้ขวดหนึ่ง

IMG_0335

IMG_0418

ไกด์บอกว่าเราเลทนิดนิดแล้ว แต่ไม่เป็นไร 555+ จาก Windhoek ไป solitaire ใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง ลืมบอก ที่พักเราอยู่ที่ solitaire เมืองนี้อยู่ใกล้กับ Sossusvlei

เมื่อขับเข้าสู่เมือง Klein-aub ทางสวยดี อดใจไม่ไหวต้องบอกไกด์ว่า

A-muay: could we stop here to take some photos, please.  only one photo พร้อมกับยิ้มกว้างให้ไกด์สุดๆ

Guide: o.k. take your time

One photo ของอาหมวยท่องโลกคือ 100 ภาพ ค่ะ

IMG_0350

IMG_0341

จากนั้นขับต่อไปเรื่อยๆ หนทาง 2 ข้างฝั่งเต็มไปทุ่งหญ้าและภูเขา

IMG_0362

IMG_0420

ภูเขาแถวนี้สวยทุกลูกเลย ห้ามใจไว้แล้ว แต่ปากหลุดพูดไป หยุดถ่ายรูปแปบนึงนะคะ แอนดรู ไกด์ของพวกเราใจดี ยอมพวกเราอีกแล้ว

พระอาทิตย์เริ่มลับของฟ้า

IMG_0428

ความจริงตอนที่ถ่ายแถวนี้ ฟ้ามืดแล้ว แต่ใช้โหมดกลางคืนถ่ายเลยดูเหมือนว่ายังสว่างอยู่

IMG_0368

ถึงที่พักตอน 2 ทุ่มนิด เราพักที่ Solitaire Desert Fram

ที่นี่มี 2 ที่นะคะ อยู่ห่างกันประมาณ 70 กิโลเมตร. เราพักอันที่เป็นห้องพร้อมแอร์
มาดูห้องกัน

IMG_0372IMG_0373IMG_0374

ขอเล่าเรื่องตลกนิดๆของพนักงานเชคอิน นางถามพวกเรามาจากประเทศไหน พอเราบอกว่าประเทศไทย นางถามว่า เธอเอาปลามาใช่ไหม เธอจะทำอาหารจากปลาใช่ไหม. เรา 2 คนมองหน้ากันงงๆ ตอบไปว่า ไม่ทำ. ไม่มีปลา นางเลยบอกว่า คราวหน้ามา เอาปลามาด้วยนะ ถามไปถามมาเลยรู้ว่านางเคยไปเมืองไทย และชอบปลามากๆ

ภาพของโรงแรมที่นี่เพิ่มเติม (ถ่ายวันที่เช็คเอาท์)

ข้อดี: ราคาไม่แพงมาก ห้องสำหรับ 2 คน ราคา 5000บาทต่อคืน พื้นที่กว้างขวาง อาหารอร่อยมาก ดาวยามคำ่คืนชัดมาก ฟ้าเปิดสุดๆ

ข้อเสีย:  แมลงเยอะ ตอนนอน bedbugs กัดเพื่อนเราตั้งหลายตุ่ม นางคัน และตุ่มบวมแดงอยู่หลายวัน เราโดนกัดด้วยแต่น้อยค่ะ แค่ 2 ตุ่ม

 

วันที่ 2 ในนามิเบีย

 

ไกด์นัดพวกเรา ตี 4 เพราะขับจากที่นี่ห่างจาก Sossusvlei ประมาณ 45นาที -1 ชั่วโมง

 

Sossusvlei หรือบึงเกลือความตาย ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติของนามิเบีย (the Namib-Naukluft National Park) เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองของประเทศนามิเบีย ห้อมล้อมไปด้วยทะเลทรายสีแดง ทะเลทรายบางส่วนเหล่านี้ถือว่าเก่าแก่ที่สุดของโลก มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย อาทิ เช่น

1. Dune 45 ทะเลทราย สูง 85 เมตร
2. Big Daddy ทะเลทรายที่สูงที่สุดในเขตนี้
3. Deadvlei จุดหมายของเรา
4. Sesriem Canyon หุบเขาลึกที่มีแม่น้ำตรงกลาง แต่ตอนนี้ไม่มีน้ำแล้วค่ะ

 

 

ไกด์ให้พนักงานเตรียมอาหารเช้าให้ด้วย เป็นแซนด์วิช 2 ชิ้น ไข่ต้ม น้ำผลไม้ แอปเปิล 1 ลูก ดีสุดๆๆ

 

มาถึงแล้วค่ะ เราเป็นคันที่ 4 ที่มาต่อแถว นะหว่างนั้น เจ้าหน้าที่ก็มาบอกรถทุกคันให้ต่อแถวกันเป็นเส้นตรง อย่าเบี้ยว

 

IMG_0295

เกทเปิด  6โมง แต่กว่าจะปล่อยให้เราเข้าไป ก็ 6โมง20 นาทีได้ สายมากสำหรับคนที่จะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ทะเลทราย

 

ระหว่างขับไป คนขับก็บอกว่า ขอโทษด้วยที่ทำให้ดูพระอาทิตย์ขึ้นไม่ทัน 555+  รู้สึกเฉยมากๆ เพราะรู้ว่า ไม่ทันตั้งแต่ตอนรอแล้ว

เลยบอกคนขับถ่ายรูประหว่างทางดีกว่า สวยดี. คิดถูกแล้วที่ถ่ายกันตอนนั้น เพราะขากลับ คุณจะไม่มีเรี่ยวแรง คุณจะหมดสภาพถึงขีดสุด

ถ่ายเพื่อน นางมาสายแบ๊ว น่ารักมุมิ ที่นางหลับตา คิดว่าน่าจะเป็นเพราะแสงแยงตานะ

 

 

ยืนถ่ายกันตรงนี้นานอยู่ ชอบแสงตอนเช้าในทะเลทราย ไม่ร้อนจนเกินไป

IMG_0298

 

 

ระหว่างที่ไกด์ขับไป Sand dune 45 เราก็แวะถ่ายรูปไปเรื่อยๆ

IMG_0299IMG_0300

ระหว่างทางเจอ Oryx ด้วย แต่ไม่ได้เอาเลนส์ซูมไป เลยใช้มือถือถ่ายค่ะ พวกนี้จะกลัวคนมากเป็นพิเศษ เพราะคนที่นี่ล่าเขาไปทำเสต็กนั่นเอง

IMG_0301

 

มาถึงแล้ว Dune 45 ทะเลทรายตรงนี้เกิดจากลมค่ะ ลมพัดทรายจากชายฝั่ง หลายๆที่ จนเกิดเป็น dune 45 ทำไมเรียกว่า dune 45 เพราะมันตั้งอยู่ห่าง 45 กิโลเมตร จากประตูทางเข้า

 

IMG_0302

 

เตรียมตัวขึ้น

 

IMG_0303IMG_0304

 

ระหว่างที่ขึ้นไป ยังไหวอยู่ อากาศยังไม่ร้อนเท่าไหร่ แต่ลมได้พัดรองเท้าแตะหลุดไปแล้วค่ะ

ภาพนี้เพื่อนแอบถ่าย 555+ อาหมวยท่องโลกยังยิ้มได้ แม้ว่ารองเท้าจะหายไปแล้วข้างหนึ่งก็ตาม

 

IMG_0333

 

ต้องบอกก่อนว่า ทะเลทรายที่นามิเบีย ลมแรงมาก และอากาศร้อนมาก. ส่วนตัวเคยไปทะเลทรายโกบีที่มองโกเลีย ยังไม่เจอลมทรายขนาดนี้ แต่อันนี้คือพัดเข้าตาตลอด แสบมาก ลืมตาไม่ได้เลย

 

ตอนเริ่มเดินยังไม่เท่าไหร่ มองจากจุดเริ่มต้นคือ ดูไม่ไกลใช่ไหม แต่พอเมื่อเราเริ่มเดินต่อไป ยิ่งไกลมากขึ้นทุกที ลมทรายยิ่งพัดแรงมากขึ้น ลืมตาไม่ได้เลย. หันมาดูอีกทีกล้องเราเต็มไปด้วยทราย ติดตามซอกเล็กซอกน้อยเต็มไปหมด จะเปิดกล้องถ่ายรูป ก็ยังทำไม่ได้ จุดนี้คือสงสารกล้องตัวเองมากกว่าตัวเองซะแล้ว เป็นความพลาดของตัวเอง ที่เอากล้องใหญ่ขึ้นมาบนนี้

 

เดินไปได้ซะพักใหญ่ ขอนั่งพักกับฝรั่งคนหนึ่งที่นั่งอยู่ พูดเลยมาหมดสภาพ เพื่อนบอกว่า เห้ยเมิงถ่ายรูปให้หน่อยดิ. ตอบกับไปว่า โอ๊ย ทรายเข้าปาก เข้าตากรู ลืมไม่ขึ้นอยู่เนี่ย 555+ จุดนั้น ถ่ายตัวเองยังไม่ได้เลย. เดินต่อซักพัก. โครตร้อน ลมแรงมากกว่าเดิม มองไม่เห็นเลย ตัดสินใจเดินต่ออีกนิด ลมก็พัดทรายกระหน่ำกว่าเดิม. ตอนนั้นมี ฝรั่ง(ตัวใหญ่พอสมควร) เดินหอบตามหลังมา. เราหันไปบอกเขาว่า you can go, after you (คุณไปได้เลย ฉันจะตามหลังคุณไป) เขากับบอกว่า เธอไปเหอะ ฉันไม่รีบ พร้อบเสียงหอบ คงเหนื่อยมากน่าดู และ นี่ก็คือสภาพเราเช่นกัน พอนึกย้อนถึงตอนนั้น ตลกตัวเองอยู่เหมือนกัน เกี่ยงกันเดินกับฝรั่ง. คราวนี้ เดินไปอีกนิด ตัดสินใจเดินลง เพราะร้อน ขาลงลมพัดแรงกว่าเดิม มันคงจะบอกเราว่า อย่าลงนะ อย่าลง. พยายามดึงเสื้อปิดกล้องไว้ แต่จับเสื้อไม่ได้เลย ลมแรงพัดจนเสื้อคลุมหลุด โชคดีที่มือถือไม่ตกลงไปในทราย

 

และเช่นเคย เพื่อนแอบถ่ายอีกแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมนางถ่ายได้ หรือเพราะว่าเราเตี้ยกว่านาง 555

IMG_0389

 

เมื่อลงมา เราก็มาแสตนบายถ่ายรูปนางตอนลง ทรายพัดแรงสุดยอด สังเกตได้จากรูปถ่าย

 

 

IMG_0390

เดินเล่นถ่ายรูปข้างล่างอีกสักนิด

IMG_0391

 

นี่สภาพหลังจากลงมาจากทะเลทราย สังเกตที่รองเท้า และผ้าผันคอ หายค่ะ

รองเท้าแตะปลิวหายข้างหนึ่งในตอนที่เดินขึ้น ยืนถ่ายรูปข้างล่างซะพัก ผ้าผันคอปลิวเดินตามไปหยิบแต่ทรายพัดหายไปแล้ว ไม่เจอค่ะ ของเพื่อนต่างหูปลิวหลุด และฝากล้องก็หลุดหายเหมือนกัน 5555+

 

จากนั้นต้องเรานั่งรถ 4 w เข้าไป จ่ายคนละ 150 แรนด์ แล้วจึงลงเดินเข้าไปชม Deadvlei จุดหมายของเรา รถจะพาเราไปจอดตรงหน้าทางเข้า Deadvlei

IMG_0394

รถที่พวกเรานั่งไป รูปร่างแบบนี้ค่ะ

 

เมื่อมาถึง เราต้องเดินเข้าไป ระหว่างทางเดินไปจะผ่าน Big Daddy เนินทรายที่สูงที่สุด เดินกันไกลพอสมควร อากาศร้อนระอุมาก ไม่สามารถเดินเท้าเปล่าได้เลย พอจับกล้องที่สะพายมาร้อนจี่ สงสารกล้องอีกแล้ว. คนขับบอกให้เอาน้ำมา เข้าใจแล้วว่าทำไม มันร้อนมาก เหมือนถูกเผาอยู่บนเตา เหนื่อยมากกว่าเดิม เพราะต้องเดินขึ้นเนินทรายตลอดในระหว่างทางที่ไป Deadvlei อากาศที่ร้อนระอุคืออุปสรรคสำคัญเลย

IMG_0395

ขยับเข้ามา ใกล้ขึ้นอีกนิด ระหว่างนี้เราต้องเดินพัก เพราะเหนื่อยมาก เป็นคนที่อยู่ในที่อากาศร้อนมากๆไม่ได้เลย เหนื่อยมากเป็นพิเศษ. ปกติแล้วจะชินกับอากาศหนาวมากกกว่า เพราะเคยศึกษาอยู่ที่รัสเซีย เจอ อากาศ -35 ก็เจอมาแล้ว แต่อยู่ได้ ไม่มีปัญหา พอเจอทะเลทรายนามิเบียเข้าไป พูดเลยว่า โหดจริง

 

 

มาถึงแล้ว กัดฟันอดทนมาเพื่อตรงนี้ คุ้มมากกับสิ่งที่เห็น. ถ้ามากับทัวร์ เขาจะให้เวลาคุณตรงนี้แค่ 20 นาที (ไม่แน่ใจว่านับตั้งแต่ทางเข้าไหม เพราะเดินตั้งแต่ทางเข้ามาตรงนี้ ไกลพอสมควร เวลาน้อยไปนิด). เรามากันเอง เลยไม่ต้องกังวลเรื่องเวลา

 

 

เดินไป หอบไป ถ่ายรูปไป

 

 

ในภาพดูเหมือนไม่ร้อนมาก แต่ของจริงบอกได้เลยว่า คุณไหม้แน่นอน

IMG_0399IMG_0400

เหนื่อยขนาดไหน ภาพนี้น่าจะตอบคุณได้ เพื่อนแอบถ่ายอีกแล้ว ณ จุดนั้น ขาเมื่อยมาก เพราะตอนขึ้นทะเลทราย ขาเกร็งมากเป็นพิเศษ

 

อยู่ที่ deadvlei นานอยู่เหมือนกัน ถึงเวลาต้องบอกลาแล้ว

IMG_0401

 

ตอนกลับเราต้องเดินถอยหลังกลับ เพื่อลดแรงโน้มถ่วง เห็นเพื่อนทำ เลยทำตามบ้าง ช่วยได้เหมือนกัน แต่ก็ยังเหนื่อยอยู่ดี ความจริงพวกเราควรนั่งพักแบบคู่นี้

IMG_0402

เดินช้ามาก ถึงช้าที่สุด หมดแรงและหมดสภาพ

เมื่อถึงหน้าประตูทางเข้า คนขับรถกับไกด์ บอกว่าให้นั่งพักก่อน 55+ สงสัยเห็นเราเหนื่อยมาก. ไกด์บอกว่า ฉันเข้าไปเดินด้วยไม่ได้เพราะฉันมีอายุมากแล้ว ฉันอาจหัวใจวายได้

ไกด์บอกเพิ่มเติมอีกว่า วันนี้พวกคุณน่าจะเดินเกินกว่า 20 โลนะ นี่คือประโยคที่ช่วยทำให้หายเหนื่อยไหม พูด!!!! 55+ เดินเยอะไม่เกี่ยวนะ แต่อากาศที่ร้อนแบบนี้ ทำให้เหนื่อยมาก เหนื่อยสุดๆ

 

 

 

 

 

ส่วนบ่ายคนขับพาเราไปกินอาหารกลางวันที่โรงแรมใกล้ๆกับ Sossusvlei เราสิงอยู่ที่นั้นเล่นไวไฟ รอตอน 4 โมงครึ่งเพื่อออกไป Sesriem Canyon อากาศร้อนเกินกว่าที่จะเที่ยวตอนกลางวันได้

 

ดูวิวระหว่างทาง

IMG_0442

 

 

จาก Sossusvlei มา Sesriem Canyon ไม่ไกลเลย ขับรถประมาณ 15 -20นาทีได้

 

IMG_0443

ภายในหุบเขา เฉยๆ ไม่มีอะไรน่าสนใจมากนัก. ตอนพวกเราออกจากหุบเขา แดดส่องลงมาที่ Canyon พอดี เลยถ่ายรูปไว้หน่อย

 

ขากลับ อีกฝั่งหนึ่งฝนตก เลยเกิดสายรุ้ง อาหมวยท่องโลกก็ไม่พลาดที่จะเก็บภาพ

 

IMG_0444

ทริปนี้เหนื่อยสุดๆ แต่ครั้งหนึ่งในชีวิตได้มาที่นี่ ก็มีความสุขแล้วค่ะ

Moscow – my beloved city (1)

มอสโคว์ เมืองนี้รับรองว่าไปแล้วไม่ผิดหวังชวร์ การันตีจากนักศึกษาที่เคยใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองนี้ ถึง 5 ปี ค่ะ  เราชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆของมอสโคว์กัน

จตุรัสแดง

1437597423-image-o
ทางเข้าจตุรัสแดง มีพิพิธภัณฑ์ประวัติศาตร์ตั้งอยู่ ข้างหน้าพิพิภัณฑ์ประวัติศาสตร์มีรูปปั้นผู้นำกองทัพคนสำคัญของรัสเซียใน สงครามโลกครั้งที่สอง ซูคอฟ (Zhukov)
Zhukov เป็นนายกรัฐมนตรีช่วยว่าการกลาโหมในปี1955-1957

ทางเข้าจตุรัฐแดง

จุดกิโลเมตรที่ศูนย์  มีความเชื่อว่า ถ้าไปโยนเหรียญผ่านไหล่ในจุดวงกลมจะทำให้ความปรารถนาเป็นจริงหรือได้กลับมา ที่มอสโควอีกครั้ง โยนเหรียญสลึงรัสเซียก็ได้นะ เหรียญสิบหรือแบงค์ใหญ่ไม่ต้องนะจ๊ะ มีคนยืนคอ

เก็บเหรียญอยู่ตลอด
1437580778-image-o.jpg

Saint Basil’s Cathedral

ถือว่าเป็นโบสถ์ที่สวยที่สุดใน Moscow นะคะ เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของเมืองนี้ ไม่เหยียบถือว่าไม่ได้มามอสโคว์น๊าเล่าประวัติคร่าวๆนะ โบสถ์นี้สร้างขึ้นเมื่อกลางศตวรรษที่ 16 ตามคำสั่งของ กษัตรย์อีวานที่ 4 (อีวานมหาโหด) เพื่อเฉลิมฉลองที่สามารถยึดเมืองคาซานมาจากมองโกลได้ จบศึกวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1552  จากนั้นในปี 1555 ก้อได้เรื่มสร้างโบสถ์นี้ขึ้น ตามตำนานคือ หลังจากที่กษัตร์อีวานได้เห็นโบสถ์นี้ และถามสถาปนิกไปว่า เธอสามารถสร้างโบสถ์ที่สวยแบบนี้หรือดีกว่านี้ได้ไหม สถาปนิกก็ดันตอบไปว่า ได้ อีวานที่ 4 โกรธเลยจ้า เลยตะโกนออกมาว่า เธอโกหก และสั่งให้ทหารนำตัวสถาปนิกไปควักลูกตาทั้ง 2 ข้าง เพราะกลัวว่าสถาปนิกจะไปสร้างโบสถ์อื่นที่สวยกว่านี้

โบสถ์นี้ตอนหลังมาเรียกว่า วาซีเรีย เพราะเชื่อกันว่า กษัตริย์อีวานที่4 สร้างโบสถ์เพื่อเป็นเกรียติของพระบิดาตัวเอง (วาซีเรียที่ 3)

ห้างกุม

1437577260-image-o.jpg
ข้างโบสถ์คือ ห้างกุม เปรียบเสมือน ห้างแฮร์รอดส์ที่ลอนดอนนั่นเองค่ะ ในห้างขายแต่ของแบรนด์เนมทั้งนั้น ซื้อที่ยุโรป จะมีลดภาษีนะคะ แต่ที่นี่บ่อมีค่ะ
แนะนำให้ชิมไอศครีมในห้างนะ อร่อยค่ะ ราคาไม่แพง โคนกะแท่งละ 50 รูเบิล
1437582744-image-o.jpg

พระราชวังเครมลิน  

1437625634-image-o.jpg

ในปี 1326-1327 สร้างโบสถ์อัสสัมชัส ซึ่งถือเป็นโบสถ์ที่สร้างจากหินโบสถ์แรกของเครมลิน

 

วิหารอัสสัมชัญ

1437626967-image-o.jpg

จากนั้นในสมัยพระเจ้าอีวานที่ 3 มีคำสั่งให้เชิญสถาปนิกรัสเซียและอิตาลีมาช่วยกันต่อเติมขยายเครมลิน ซึ่ง ปี 1475 – 1479 วิหารอัสสัมชัถูกสร้างขึ้นใหม่ หลังจากนั้นก็สร้างวิหารมิคาอิล

 

วิหารมิคาอิล หรือวิหารอาร์คาเกล

1437627022-image-o.jpg

 

วิหารอันนันซิเอชั่น

1437629091-image-o

 

หลังจากนั้นภายในเครมลินก็ได้มีการสร้างสิ่งงก่อสร้างต่างๆมากมาย อาทิเช่น

 

 

หอระฆังอีวานมหาราช

เคยเป็นระฆังที่ใหญ่ที่สุดในโลก น้ำหนักเกือบ 200 ตัน ตอนนี้เสียแชมป์ให้แก่ ระฆังพระธรรมเจดีย์ที่พม่าแล้วค่ะ

1437628736-image-o.jpg

ปืนใหญ่พระเจ้าซาร์

ซึ่งถือว่าเป็นปืนใหญ่ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเช่นกัน

1437628798-image-o.jpg


Cathedral of Christ the Saviour

ว่าเป็นโบสถ์คริสต์นิกายออธอด็อกซ์ที่สูงที่สุดในโลกนะ และยังเป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในมอสโคว์ด้วยนะ  สูง103.5เมตร จุคนได้ถึง 10,000 คน ถ้าคนเจ้าเนื้อแบบนิสัย คงอาจจุไม่ถึงนะฮะ

โบสถ์เดิมนะ ใช้เวลาสร้างถึง 40 ปีแต่ในสมัยสตาลิน  ดันสั่งให้ทุบทิ้ง ทำเป็นสระว่ายน้ำซะเนี่ย ป่าวหรอก ตอนแรกจะสร้าง palace of the soviet แต่ก็ยกเลิกไป เลยสร้างสระว่ายน้ำแทน เพราะสตาลินอยากจะลดบทบาทของศาสนจักรลง. ของใหม่พึ่งสร้างเสร็จเมื่อปี2000นะ

มาดูรูปกันดีกว่า

2 รูปนี้เซฟมาจากเฟส อาจไม่ค่อยชัดบ้างนะ เพราะไฟล์ภาพจริงเก็บไว้ใน external hard disks กว่าจะค้น กว่าจะลง คงอีก 2 วันแน่ๆ

 

 

สวนซาริชิโน


เมื่อศตวรรษ ที่ 18 พระนางแคทรีนมหาราชินีได้ซื้อที่ตรงนี้ไว้ แล้วสั่งให้สถาปนิกสร้างพระราชวังส่วนพระองค์ขึ้นมา เมื่อสร้างใกล้เสร็จ พระองค์ทรงไม่ถูกใจ จึงสั่งให้ทำลายทิ้ง คราวนี้ก็ได้สถาปนิกคนใหม่คาซาคอฟ มาควบคุมดำเนินการก่อสร้าง แต่พระนางได้สวรรคตสักก่อน  โครงการสร้างพระราชวังจึงถูกทิ้งไว้นานถึง 200ปี พึ่งต่อเติมสร้างใหม่เมื่อปี 2005

 

 

แนะนำที่พักในไทเป(1)

 

แนะนำที่พักในไทเป(1)

ตอนนี้จขกทพึ่งจบทริป 7 เดือนกว่า ประเทศไต้หวันเป็นประเทศสุดท้ายที่ในทริปนี้ เลยขอมารีวิวที่พักที่จขกทได้ไปพักมาในไทเป
ที่พักแห่งแรกที่อยากแนะนำคือ โฮสเทล Meander Taipei

Meander Taipei

image

รูปภาพแรก Cr: Meander Taipei

โฮสเทลที่นี่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง สถานี Ximen เดินจากโฮสเทลไปแหล่งช้อปปิ้งสุดฮิตซีเหมินติงแค่ 6 นาที ถ้ามาจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินให้ออก Exit 6 เดินตรงไปเรื่อยๆ ข้ามถนนเล็ก 5 แยก ก้อจะถึงค่ะ ดูแผนที่ประกอบได้
ที่อยู่: No.163, Chengdu Rd., Wanhua Dist., Taipei City 108, Taiwan (R.O.C.)

———————————————————————–

บอกราคากันก่อนดีกว่า

 ราคา

ราคาห้องรวมหญิง 8 คน: 600 TWD(หน่วยเงินไต้หวัน)
ราคาห้องเดี่ยวคนเดียว: 1380 TWD (หน่วยเงินไต้หวัน)
ราคาห้องเดี่ยว 2 คน: 2180 (หน่วยเงินไต้หวัน)
นอกจากนี้ยังมีห้องเดี่ยวสำหรับ 3 คน ห้องนอนรวมหญิง 4 คน และห้องนอนรวมชาย-หญิง

โฮสเทลนี้มีลิฟต์ให้บริการ แต่ลิฟต์อยู่ชั้น 2 เพราะฉะนั้นนักท่องเที่ยวต้องแบกกระเป๋าจากชั้น 1 ไปที่ชั้น 2 ก่อนแล้วจึงกดลิฟต์ขึ้นไปชั้นต่อๆไป

เข้ามาข้างในโฮสเทลบ้าง

พื้นที่ส่วนกลาง


โต๊ะกินข้าว มีอาหารเช้าให้กินด้วยนะ

image

ห้องครัวสะอาด จัดเก็บเป็นระเบียบ

IMG_3462

ห้องซักผ้า มีทั้งเครื่องซักผ้าและเครื่องอบแห้ง

IMG_3464

ข้างๆกันมีเครื่องทำกาแฟ และเครื่องแลกเหรียญสำหรับหยอดใส่ตู้เครื่องซักผ้าและอบผ้า

IMG_3465

มาดูมุมอื่นบ้าง

ชอบมุมนี้ มีป้ายบอกอธิบายสถานที่ที่เราควรไปในไทเป

IMG_3467
เห็นกระดาษที่แปะอยู่เยอะๆด้านขวามือของกำแพงไหมคะ คือป้ายบอกอาหารที่เราต้องชิมในไต้หวัน

IMG_3466

ห้องนอน
มาดูห้องนอนบ้าง เลือกห้องนอนรวมหญิง 8 คน เพราะเช็กทางเน็ตแล้วพบว่าในห้องมีคนนอนแค่ 2 คน คืนแรก เรานอนกับคนอื่นอีก 2 คน คืนต่อๆไปในห้องมีแค่เรา 2 คน เท่ากับว่าทั้งห้องเป็นของเรา 2 คนเท่านั้น
ห้องนอนรวมกว้างนะ มีพื้นที่วางกระเป๋า มีล๊อกเกอร์ให้ ที่นอนสบาย จนเพื่อนที่ไปด้วยพูดออกมาว่า นอนสบายมากอ่ะ เมิง ปกตินางจะค้านหัวชนฝาถ้าชวนให้ไปนอนโฮสเทล เราต้องบอกนางไปว่า ไปลองดูก่อน มันอาจจะเหมือนที่เมิงจินตนาการไว้ เปิดใจเว้ยเฮ้ย


ทางเดินระหว่างห้อง

image
ห้องน้ำ สะอาด มีพนักงานทำความสะอาดตลอดเวลา ในห้องน้ำมียาสระผม ครีมอาบน้ำให้

IMG_3468

สรุป ให้คะแนนโฮสเทล 9/10

หักไป 1 คะแนนตรงที่ต้องลากกระเป๋าขึ้นบันไดไปชั้น 2 แต่สำหรับนักเดินทางเรื่องยกกระเป๋าขึ้นบันได เป็รอะไรที่สบายมาก

ข้อดี

เดินทางสะดวก, ใจกลางเมือง, ใกล้แหล่งช้อปปิ้ง, โฮสเทลสะอาด, ห้องน้ำสะอาด, เตียงนอนนุ่มและนอนสบายมาก (ขนาดห้องนอนรวม ยังสบายมาก), ปลอดภัย, พนักงานให้ความช่วยเหลือดี ดูแลเอาใจใส่, ข้อมูลแน่น, มีอาหารเช้า ถือได้ว่าเป็นโฮลเทลที่ดีมากอีกหนึ่งโฮลเทลในไทเปเลย

ข้อเสีย
ต้องลากกระเป๋าขึ้นบับไดไปชั้น 2
เผื่อใครสนใจ ดูรายละเอียดได้ในเว็บของโฮสเทลเลย
http://meander.com.tw

เจอกันใหม่ คราวหน้าจะมารีวิวโรงแรมในไทเป

Crimea

รู้จักไครเมียกันก่อน

 

image

 

ไปเที่ยวไครเมียมาค่ะ ไปคนเดียวด้วย และพึ่งกลับจากไครเมียมา รีบมารีวิวก่อน เดี๋ยวจะไม่มีเวลารีวิวนะครับ เพราะตอนนี้กำลังออกทริประยะยาวอยู่นะ จบทริปจะครบ 52 ประเทศพอดิบพอดีเลย
ก่อนไปลองเสริทเที่ยวกระทู้ไครเมียในพันทิฟ ไม่เจอนะฮ่ะ เลยตัดสินใจมารีวิวซะเลย เพื่อแบ่งปันข้อมูลกับคนที่สนใจ สำหรับคนที่ไม่สนใจหรือไม่รู้จัก ลองมาทำความรู้จักกันซะนิด แล้วคุณอาจจะอยากไปที่นี่ก็ได้นะ โดยเบ๋จะรีวิวแนะนำพร้อมบอกข้อมูลสถานที่ตามเมืองต่างๆในไครเมียที่เบ๋ไปมานะ

เริ่มเลยล่ะกันนะ

 

เกร็ดความรู้เล็กน้อย
ตำแหน่งที่ตั้งและความรู้ทั่วไป

ไครเมีย หรือคาบสมุทรไครเมีย ตั้งอยู่บนชายฝั่งเหนือทะเลดำ มีประชา 2 ล้านคน 80 % เป็นชาวรัสเซีย ที่เหลือเป็นชาวยูเครนและ ตาตาร์ไครเมีย

ไครเมียมีประวัติศาสตร์มายาวนานเหมือนกัน โดยตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 ชนเผ่า Scythiansได้ยึดครองที่นี่(ชาวกรีกโบราณให้คำนิยามของชนเผ่านี้ว่าชนเผ่าหลากหลายเชื้อชาติที่อาศัยอยู่ในยุโรปตะวันออกในสมัยก่อน) และได้เคยถูกปกครองโดยรัสเซีย ต่อมาเป็นส่วนหนึ่งของมองโกล และได้ตกเป็นของอาณาจักรออตโตมันเตอร์ก แต่ในสมัยพระนางแคทเทอรีนมหาราชแห่งรัสเซีย ปี 1771 รัสเซียทำสงครามกับตุรกียึดไครเมียมาได้ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เยอรมันได้ยึดไครเมียไว้ถึง 3 ปี แต่รัสเซียก็ยึดคืนมาได้นะครับ จนมาถึงสมัย ประธานาธิบดี Nikita Khruschev ผู้นำโซเวียตได้ยกไครเมียให้กับยูเครน เพื่อสัมพันธไมตรีอันดี สร้างความไม่พอใจให้ประชาชนรัสเซียในไครเมียเป็นอันมาก หลังจากสหภาพโซเวียตแตก ไครเมียก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของยูเครน จนเมื่อปี 2014 มีการทำประชามติขอนำไครเมียเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย ประชาชนมากกว่า 80 % เห็นด้วย รัสเซียจึงในรับรองสถานะดังกล่าว เมื่อ 18 มีนาคม 2014 นำมาสู่ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและชาติตะวันตกจนถึงปัจจุบัน

ปัจจุบันนี้ยูเครนและนานาชาติยังไม่ยอมรับว่าไครเมียคือส่วนหนึ่งของรัสเซียนะ อเมริกายกเลิกระบบบัตรเครดิตวีซ่า, มาสเตอร์การ์ด รวมถึงระบบส่งเงินระบบอเมริกันและยุโรป ล่าสุดเมื่อวันที่ 21 พย ปีนี้ เสาไฟฟ้าแรงสูงในยูเครน ที่จ่ายไฟให้กับเขตไครเมียถูกยิงระเบิด ทำให้ไครเมียไม่มีไฟฟ้าใช้ เนื่องจากไครเมียยังต้องพึ่งไฟฟ้าจากยูเครนค่ะ ทางยูเครนอ้างว่าเป็นฝีมือของกลุ่มชาตินิยมยูเครน แต่ประชาชนและผู้นำไครเมียต่างเชื่อว่ารัฐบาลยูเครนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ แต่วันที่ 20 ธันวาคม ปีนี้ ทางไครเมียไม่ต้องพึ่งยูเครนแล้วค่ะ สามารถใช้ไฟฟ้าที่ส่งมาจากรัสเซียได้เลย รัสเซียกำลังดำเนินการอยู่ค่ะ
ณ ตอนนี้เจ้าหน้าที่ใช้เครื่องปั่นไฟจากพลังก๊าซส่งไฟฟ้าให้กับบ้านเรือนและร้านค้าต่างๆ แต่ไม่ได้มีไฟฟ้าใช้ตลอดนะคะ จะกำหนดเป็นช่วงๆค่ะ และสลับเขตกัน ร้านค้าต่างๆในช่วงกลางวันใช้แสงธรรมชาติค่ะ (พระอาทิตย์นั่นเอง) กลางคืนถนนมืดหมดค่ะ ใช้ไฟฉายนำทางกันนะ รู้ดีเลย เพราะวันที่เบ๋บินไป คือวันที่โดนตัดไฟพอดีค่ะ ได้พจญภัยด้วยเลย

เรื่องระทึกของเบ๋: วันแรกที่ไปถึงอยู่เมืองหลวงค่ะ ไม่ได้ทราบข่าวว่าทางไครเมียไม่มีไฟฟ้าใช่ค่ะ พอวันที่ 2 ไปอีกเมืองค่ะเกิดเรื่องเพราะว่า เบ๋ไม่ได้กดเงินไปเผื่อค่ะ เนื่องจากนั่งรถไฟทรานไซบีเรียมามอสโคว์แล้วบินต่อเลย ทำให้ลืมเรื่องกดเงินไปเลยค่ะ และวันที่ 2 ร้านอาหารหลายร้านไม่ทำงาน เดินจนเจอร้านเคบับ จึงได้ทานอาหาร ธนาคารไม่ทำงาน ของเบ๋มีบัตรรัสเซีย กดไม่ได้เหมือนกัน วันรุ่งขึ้นไปธนาคารของรัสเซีย ปรากฎว่าเครื่องไม่รับบัตรค่ะ เงินเหลืออยู่ 50 บาทค่ะทำไรไม่ได้เลย แต่ได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าของโฮสเทลค่ะ ขับรถพาไปหาธนาคารต่างๆ แต่แก้ปัญหาไม่ได้ค่ะ ค่าห้องเบ๋ก็ยังไม่ได้จ่าย แต่เจ้าของบอกว่าถ้าแก้ปัญหาได้เมื่อไหร่ค่อยจ่าย คืนวันที่ 3 เบ๋ตัดสินใจนั่งรถไปต่อเรือไปเข้าเขตรัสเซียกดเงิน แล้วกลับมาอีกรอบค่ะ เจ้าของใจดีออกเงินค่ารถบัสให้ก่อน กับทำซุปเห็ดให้กินรองท้องค่ะ น้ำใจและมิตรภาพของคนรัสเซียที่เบ๋ได้พบเจอที่ไครเมีย ยังมีอีกเยอะค่ะ เดี๋ยวไว้เล่าตอนหลังนะ
ตอนนี้มาเริ่มรีวิวสถานที่ท่องเที่ยวกันดีกว่า ข้อมูลรีวิวเรียบเรียงเขียนเองค่ะ อาจจะติดๆขัดๆไปบ้างนะ เขียนไม่เก่งซะเท่าไหร่