นามิเบีย ไปเถอะ มันดีต่อใจ ฉบับ อาหมวยท่องโลก

IMG_0297.JPG

ประเทศนามิเบีย พูดไปหลายคนคงถามว่า มันคือที่ไหน มันมีอะไร อย่าว่าแต่คุณเลย เราก็เป็น จินตนาการไว้ว่า ต้องทุลักทุเล กันดาร ห่างไกลความเจริญ ลำบากลำบากๆ น้ำสกปรก อาหารต้องดิบๆ เถื่อนๆแน่ ถึงขั้นเราเตรียมโร่ซ่าพร้อมอาหารสำเร็จรูปจากประเทศไทยไป เพราะกลัวจะต้องกินเนื้อครึ่งสุก ครึ่งดิบ 555+ อ่านรีวิวของฝรั่งมา ก็บอกว่าที่นั่นชอบกินเนื้อไม่สุก มีเลือด ยิ่งคิดไปไกลเลย ภาพกินสเต็กไป เลือดอาบเต็มปาก 55+ จินตนาการของคนเราไปได้ไกลสุดจริงๆ

มาเข้าเรื่องกันดีกว่า ทริปนี้เกิดได้อย่างไร

– มีการเปลื่ยนแปลงทริปที่จะชมไปแสงเหนือที่ไอซแลนด์ สมาชิกไม่พอ เลยยกเลิกทริปไปก่อน เพื่อนเราคนหนึ่งได้พูดขึ้นมาว่า เห้ย กรูอยากไปเคปทาวน์ ไอ้เราก็ตอบไปว่า ไปก็ไปดิ  การเดินทางจึงได้เริ่มต้นขึ้น. พอหาข้อมูลไป เจอสถานที่เที่ยวในนามิเบีย แปลก น่าสนใจ เราเลยชวนเพื่อนบินไปเที่ยวนามิเบียด้วย

ทำไมถึงไปนามิเบีย

 

เราอยากไปที่นี่ Deadvlei ดินแดนที่ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนที่แห้งแล้วที่สุด จนพื้นดินแห้งแตกระแหงเป็นกระทะดินสีขาว. มีต้นไม้ Acacia Erioloba ที่มีอายุกว่า 900 ปีมา
แล้ว ที่แห่งนี้เกินขึ้นได้เพราะ น้ำท่วมจากแม่น้ำ Tsauchab จนทำให้ต้น Acacia Erioloba เจริญเติบโต ต่อมาอากาศเปลี่ยน พื้นทรายก็ถล่มจนน้ำไม่สามารถเข้าถึงพื้นทีตรงนี้ได้ ต้นไม้เหล่านี้ก็ยังคงอยู่ที่นี่จนถึงทุกวันนี้

คงมีคำถามว่า ทำไมมันไม่ตายล่ะ?

มันตายไปแล้วค่ะ ตามชื่อของมันเลย แต่ไม่ล้มลง เพราะมันแห้งแล้งมากนั้นเอง

ไกด์บอกว่าพื้นกระทะดินสีขาวตรงนี้มีหนึ่งเดียวในโลก กิ้วๆๆ อยากให้อิฉันไปเจอที่อื่นนะคะ จะโทรไปหาเลย

อากาศ

โครตร้อน พูดเลย. กลับมาไม่ดำก็ให้รู้ไป

อาหาร

อร่อยอ่ะ ไม่คิดไม่ฝันว่าเนื้อ Oryx จะอร่อยขนาดนี้ สะอาด อาหารอออกสไตย์ยุโรป เสต็ก ซุป ของหวาน ผลไม้ มีบุฟเฟย์ทั้งกลางวันและกลางคืน

เนื้อ Kudu และ Springbok ก็อร่อย ไกด์แนะนำ

เนื้อวัวไม่เหม็นกินได้ อร่อย มีเหม็นแค่เนื้อวัวในมื้ออาหารของสายการบิน Namibia Air

เนื้อไก่ เนื้อหมูมีแต่ไม่ได้นิยมกันในประเทศนี้

รับประกันอาหารไม่ดิบไม่เถื่อน กินได้ทุกอย่าง

ของหวานที่นี่มักเป็นคัสตาร์ด และเค้ก อร่อยดี ชอบ

ผลไม้อร่อยนะ
มาดูภาพสัตว์น้อยผู้น่ารัก ที่คนนามิเบียเอามาทำเนื้อเสต็กกัน

1. Kudu

IMG_0278

2. Oryx

IMG_0279

3. Springbok

IMG_0280

Credit: google.com

น้ำ

น้ำสะอาด ใช้อาบน้ำ แปรงฟังได้ปกติ แต่ไม่แนะนำให้กินน้ำจากก๊อก ซื้อน้ำเปล่าเป็นขวดกิน

ของกินอื่น

มีพวกโยเกิร์ต น้ำผลไม้ มีให้เลือกเยอะมาก คนชอบพวกน้ำผลไม้ตระกูลเบอรี่ คือสวรรค์เลย ไอศครีมของประเทศเขาก็อร่อยค่ะ ลองชิมไปถังหนึ่ง (ถังเล็กนะ อย่าพึ่งตกใจ) ทุกอย่างหาซื้อได้ภายในซุปเปอรมาร์เก็ต พวกเราเลือกชิมแต่ของที่ผลิตในนามิเบียเท่านั้น
ส่วนพวกขนมทั้งหลาย นำเข้าจากประเทศแอฟริกาใต้จ้ะ

หน่วยเงิน

ใช้เงินนามิเบียได้หรือจะใช้เงินแรนด์ของแอฟริกาใต้ได้เลย แต่ก่อนกลับไทยต้องแลกเงินนามิเบียให้เป็นแรนด์ก่อนนะ ที่ไทยไม่มีเงินนามิเบียให้แลกคืน

การเดินทาง

ขับรถเที่ยวเอง หรือจะจ้างไกด์ส่วนตัวก็ได้
ขับรถเที่ยวเองจะประหยัดค่าใช้จ่ายไปเยอะอยู่ ถ้าขับรถเอง ควรถึงจุดหมายก่อนฟ้ามืด ดูแผนที่ดีๆ ที่นี่มีคนหลงเยอะเหมือนกัน ไกด์บอกว่า จีพีเอส ก็พาไปมั่วได้ในหลายที่ ตัวเขาเองดูแผนที่ค่ะ

ความปลอดภัย

นามิเบียถือว่าเป็นประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในทวีปแอฟริกาใต้ แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ควรประมาท. เพราะไกด์บอกว่า ในเมือง Windhoek ตอนเขาพาเด็กนักเรียนต่างชาติมาทัศนศึกษาเมื่อปีที่แล้ว โจรได้ทุบกระจกรถบัสแล้วขโมยกระเป๋าเป้ไป ภายในช่วงเวลา 1 ชั่วโมง

การทำวีซ่า

ที่ไทยไม่มีสถานทูตนามิเบีย เลยต้องส่งเอกสารไปที่สถานทูตนามิเบียที่มาเลเซีย

เอกสารที่ต้องใช้

1.พาสปอรต์ตัวจริง ( และต้องซีหน้าแรกด้วย)
2.  รูปถ่าย4 ขนาดเท่าพาสปอรต์ 2 รูป

3. ตั๋วไปกลับและที่พัก

4. ก้อปปี้บัตรเครดิตการด์ บัตรเดบิทก็ใช้ได้

5. เงินค่าทำวีซ่า 75$ ให้แลกเป็น ดอรลาร์ไป

ทุกอย่างรวมถึงเงินส่งไปในซอง ใช้บริการ fed-ex ส่งให้เขาไปรับให้เราที่สถานทูต

ไปกี่วัน กี่ประเทศ  (ได้เที่ยวเต็ม วัน 8 วัน) 

– ไป 10 วัน 2 ประเทศ
1. ประเทศแอฟริกาใต้
2. ประเทศนามิเบีย

แพลนการเดินทาง

วันที่ 1 – fly to Johannesburg

วันที่ 2 – Johannesburg
วันที่ 3 – Johannesburg
วันที่ 4 – fly to Windhoek( เมืองหลวงของประเทศนามเบีย) เที่ยวในตัวเมือง และออกเดินทางไป Solitaire

วันที่ 5 Sossusvlei and sesriem Canyon

วันที่ 6 lake in Namibia, in the evening fly to Cape Town

วันที่ 7 Cape Town

วันที่ 8 Cape Town, evening flight to Johannesburg

วันที่ 9 shopping in Johannesburg , fly back to Bangkok

วันที่ 10 – arrive in Bangkok

ค่าใช้จ่ายตลอดทั้ง10 วัน

ไม่รวม pocket money = 70700 บาท

รายละเอียดดังนี้

1. ค่าตั๋ว

ตั๋วในประเทศ =12210 บาท (1. ตั๋วจากโจฮันส ไป วินฮุค 2. ตั๋วจากวินฮุคไป เคปทาวน์ 3. ตั๋วจากเคปทาวน์ไปโจฮัน)
ตั๋วบินจากไทย สายการบินสิงค์โปรแอร์ไลน์ ซื้อตอนโปรโมชั่น = 28000 บาท
2. ค่าโรงแรม
1. ค่าโรงแรมในโจฮันส์ 3คืน(ต่อคน)
2. ค่าโรงแรมในเคปทาวน์ 2 คืน (ต่อคน)
3. ค่าโรงแรมในนาบีเมีย 2 คืน (ต่อคน)

=10850  บาท (ต่อคน)

3. ค่าทัวร์
1. ค่า ไกด์+คนขับรถในนาบิเมีย 2คืน 3 วัน = 30000 (หาร 2 = 15000)=15000  บาทต่อคน

4. ค่าใช้จ่ายจิปาถะ

1. ค่าทำวีซ่านาบิเมีย =2700 บาท
2. ค่าส่ง fed-ex ส่งพาสปรอต์ไปที่สถานทูตนามิเบียที่มาเลยเซีย=1250 (ไปกัน 2 คน) =1250/2 = 625 ต่อคน
3. ค่าประกันการเดินทาง =1052

และ
Pocket money แยกต่างหาก 20000 บาท (ซื้อของฝาก, ค่าอาหาร, ค่ารถ hop on เที่ยวในเมือง)

มาดูรีวิวสถานที่ท่องเที่ยวกันดีกว่า 

ลดขนาดและรายละเอียดภาพลง เพื่อความรวดเร็วในการโหลดนะคะ

 

วันแรก

วันแรกในนามิเบีย เราบินกันมาถึงตอน 11โมง นัดพบกับไกด์
นี่คือโฉมหน้าของไกด์ เขาเป็นทั้งไกด์และคนขับรถไปในตัวเลย. คุณแอนดรู น่ารัก เทคแคร์ดี พวกเราใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารกับไกด์ค่ะ

Processed with VSCO with a8 preset

ภาพนี้ถ่ายวันกลับ พวกเราดำขึ้นจากเดิมเยอะเลยทีเดียว

โปรมแกรมในวันแรก คือเที่ยวชมเมือง Windhoek เมืองหลวงของนามิเบียนั้นเอง

ที่แรกที่เราไปคือ

Christ Church

IMG_0412

โบสถ์นิกายลูเทอแรน (หนึ่งในนิกายของคริสต์โปรเตรแตนต์) สถาปนิกชาวเยอรมันเป็นคนออกแบบ โบสถ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในช่วงสงครามระหว่างเยอรมันกับชนเผ่านามิเบีย

IMG_0410

ตรงข้ามโบสถ์ เคยเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์ทหารเยอรมัน แต่ตอนนี้ได้ย้ายอนุสาวรีย์นี้ไปเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์(ร้าง) และสร้างอนุสาวรีย์ Independence Memorial Museumมาแทนที่

ถ้าพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนามิเบีย และเยอรมัน เราไม่อาจตอบได้แน่ชัด แต่ถ้าถามถึงความรู้สึกของคนนามิเบียที่มีต่อเยอรมันนั้น บอกได้ว่า ชาวนามิเบียไม่ชอบเยอรมัน เนื่องมาจากเหตุการณ์ในอดีต ที่เยอรมันกดขี่พวกเขาในช่วงศตวรรษที่ 19

Independence Memorial Museum.

IMG_0411

ตรงนี้คือ Independence Memorial Museum. อยู่ตรงข้ามกับ Christ Church  มีรูปปั้นของ Dr. Sam Nujoma ประธานาธิบดีคนแรกของนามิเบีย และเป็นผู้นำคนสำคัญขับเคลื่อนให้นามิเบียเป็นอิสระจากประเทศแอฟริกาใต้

ไกด์เดินนำพวกเราไปพิพิธภัณฑ์ (ร้าง) ที่อยู่ด้านข้าง Independence Memorial Museum

ปัจจุบันเป็นที่เก็บรถม้า และอนุสาวรีย์ทหารเยอรมัน

IMG_0404

ต่อไปเราเดินไปที่

IMG_0413

อนุสาวรีย์แห่งสงคราม ตั้งอยู่ในสวนเล็กๆไม่ไกลจาก Christ Church ไกด์บอกว่า อาจจะรื้อถอนอนุสาวรีย์แห่งนี้ เพราะเยอรมันสั่งให้สร้างขึ้นให้กับนายทหารเยอรมันที่เสียชีวิตในการต่อสู้กับพวกของ Witbooi

เราฟังแล้ว ก็ โหย โหดอ่ะ นี่เขาเรียกว่า เกลียดแบบไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดเลยใช่ไหม

Witbooi คือใคร

Hendrik Witbooi คือฮีโร่ของนามิเบีย ในสมัยที่เขามีชีวิตอยู่ เขาปลุกระดม รวมรวบกำลังพลเพื่อต่อสู้กับรัฐบาลเยอรมัน ในสงครามเยอรมัน-นามิเบีย 1904-1905 มีคนเข้าร่วมกับ Witbooi เป็นจำนวนมาก ด้วยความหวังที่จะไม่ต้องโดนกดขี่จากเยอรมันอีกต่อไป ในสงครามครั้งนั้น ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก และ Witbooi ถูกฆ่าตายในปี 1905 ถึงแม้ว่า Witbooi จะตายไปแล้ว แต่เขายังเป็นฮีโร่ในใจประชาชนนามิเบียตลอดมา
จากนั้นไกด์พาไปร้านอาหารที่แนะนำของที่นี่. ระหว่างทางที่ขับไป ผ่านบ้านประธานาธิบดีด้วย แต่ไกด์บอกว่าเขาไม่ให้จอดถ่ายรูป

ไกด์พามากินที่ ร้าน Joe’s beer house แนะนำ อาหารอร่อย ให้เยอะ จนเราต้องเอาขอห่อกลับไปกินที่ที่พัก. พวกเราตัดสินใจเลี้ยงคนขับ ซึ่งความจริงทางบริษัทได้คิดค่าบริการแยกต่างหากไว้แล้ว เลี้ยงแค่มื้อนี้มื้อเดียวแหละ มื้ออื่นไม่ได้เลี้ยง
มาดูบรรยากาศในร้านกัน

IMG_0332IMG_0333IMG_0334

ราคาเสต็กอยู่ที่ 150-300 แรนด์ รสชาติดีนะ

IMG_0338

จากนั้นเราแวะซื้อของที่ซุปเปอร์ เพื่อนชื่อน้ำผลไม้เบอรี่เยอะมาก นางชอบ ส่วนเราซื้อไอศครีม 1 ถังเล็ก และน้ำดื่ม น้ำผลไม้ขวดหนึ่ง

IMG_0335

IMG_0418

ไกด์บอกว่าเราเลทนิดนิดแล้ว แต่ไม่เป็นไร 555+ จาก Windhoek ไป solitaire ใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง ลืมบอก ที่พักเราอยู่ที่ solitaire เมืองนี้อยู่ใกล้กับ Sossusvlei

เมื่อขับเข้าสู่เมือง Klein-aub ทางสวยดี อดใจไม่ไหวต้องบอกไกด์ว่า

A-muay: could we stop here to take some photos, please.  only one photo พร้อมกับยิ้มกว้างให้ไกด์สุดๆ

Guide: o.k. take your time

One photo ของอาหมวยท่องโลกคือ 100 ภาพ ค่ะ

IMG_0350

IMG_0341

จากนั้นขับต่อไปเรื่อยๆ หนทาง 2 ข้างฝั่งเต็มไปทุ่งหญ้าและภูเขา

IMG_0362

IMG_0420

ภูเขาแถวนี้สวยทุกลูกเลย ห้ามใจไว้แล้ว แต่ปากหลุดพูดไป หยุดถ่ายรูปแปบนึงนะคะ แอนดรู ไกด์ของพวกเราใจดี ยอมพวกเราอีกแล้ว

พระอาทิตย์เริ่มลับของฟ้า

IMG_0428

ความจริงตอนที่ถ่ายแถวนี้ ฟ้ามืดแล้ว แต่ใช้โหมดกลางคืนถ่ายเลยดูเหมือนว่ายังสว่างอยู่

IMG_0368

ถึงที่พักตอน 2 ทุ่มนิด เราพักที่ Solitaire Desert Fram

ที่นี่มี 2 ที่นะคะ อยู่ห่างกันประมาณ 70 กิโลเมตร. เราพักอันที่เป็นห้องพร้อมแอร์
มาดูห้องกัน

IMG_0372IMG_0373IMG_0374

ขอเล่าเรื่องตลกนิดๆของพนักงานเชคอิน นางถามพวกเรามาจากประเทศไหน พอเราบอกว่าประเทศไทย นางถามว่า เธอเอาปลามาใช่ไหม เธอจะทำอาหารจากปลาใช่ไหม. เรา 2 คนมองหน้ากันงงๆ ตอบไปว่า ไม่ทำ. ไม่มีปลา นางเลยบอกว่า คราวหน้ามา เอาปลามาด้วยนะ ถามไปถามมาเลยรู้ว่านางเคยไปเมืองไทย และชอบปลามากๆ

ภาพของโรงแรมที่นี่เพิ่มเติม (ถ่ายวันที่เช็คเอาท์)

ข้อดี: ราคาไม่แพงมาก ห้องสำหรับ 2 คน ราคา 5000บาทต่อคืน พื้นที่กว้างขวาง อาหารอร่อยมาก ดาวยามคำ่คืนชัดมาก ฟ้าเปิดสุดๆ

ข้อเสีย:  แมลงเยอะ ตอนนอน bedbugs กัดเพื่อนเราตั้งหลายตุ่ม นางคัน และตุ่มบวมแดงอยู่หลายวัน เราโดนกัดด้วยแต่น้อยค่ะ แค่ 2 ตุ่ม

 

วันที่ 2 ในนามิเบีย

 

ไกด์นัดพวกเรา ตี 4 เพราะขับจากที่นี่ห่างจาก Sossusvlei ประมาณ 45นาที -1 ชั่วโมง

 

Sossusvlei หรือบึงเกลือความตาย ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติของนามิเบีย (the Namib-Naukluft National Park) เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองของประเทศนามิเบีย ห้อมล้อมไปด้วยทะเลทรายสีแดง ทะเลทรายบางส่วนเหล่านี้ถือว่าเก่าแก่ที่สุดของโลก มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย อาทิ เช่น

1. Dune 45 ทะเลทราย สูง 85 เมตร
2. Big Daddy ทะเลทรายที่สูงที่สุดในเขตนี้
3. Deadvlei จุดหมายของเรา
4. Sesriem Canyon หุบเขาลึกที่มีแม่น้ำตรงกลาง แต่ตอนนี้ไม่มีน้ำแล้วค่ะ

 

 

ไกด์ให้พนักงานเตรียมอาหารเช้าให้ด้วย เป็นแซนด์วิช 2 ชิ้น ไข่ต้ม น้ำผลไม้ แอปเปิล 1 ลูก ดีสุดๆๆ

 

มาถึงแล้วค่ะ เราเป็นคันที่ 4 ที่มาต่อแถว นะหว่างนั้น เจ้าหน้าที่ก็มาบอกรถทุกคันให้ต่อแถวกันเป็นเส้นตรง อย่าเบี้ยว

 

IMG_0295

เกทเปิด  6โมง แต่กว่าจะปล่อยให้เราเข้าไป ก็ 6โมง20 นาทีได้ สายมากสำหรับคนที่จะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ทะเลทราย

 

ระหว่างขับไป คนขับก็บอกว่า ขอโทษด้วยที่ทำให้ดูพระอาทิตย์ขึ้นไม่ทัน 555+  รู้สึกเฉยมากๆ เพราะรู้ว่า ไม่ทันตั้งแต่ตอนรอแล้ว

เลยบอกคนขับถ่ายรูประหว่างทางดีกว่า สวยดี. คิดถูกแล้วที่ถ่ายกันตอนนั้น เพราะขากลับ คุณจะไม่มีเรี่ยวแรง คุณจะหมดสภาพถึงขีดสุด

ถ่ายเพื่อน นางมาสายแบ๊ว น่ารักมุมิ ที่นางหลับตา คิดว่าน่าจะเป็นเพราะแสงแยงตานะ

 

 

ยืนถ่ายกันตรงนี้นานอยู่ ชอบแสงตอนเช้าในทะเลทราย ไม่ร้อนจนเกินไป

IMG_0298

 

 

ระหว่างที่ไกด์ขับไป Sand dune 45 เราก็แวะถ่ายรูปไปเรื่อยๆ

IMG_0299IMG_0300

ระหว่างทางเจอ Oryx ด้วย แต่ไม่ได้เอาเลนส์ซูมไป เลยใช้มือถือถ่ายค่ะ พวกนี้จะกลัวคนมากเป็นพิเศษ เพราะคนที่นี่ล่าเขาไปทำเสต็กนั่นเอง

IMG_0301

 

มาถึงแล้ว Dune 45 ทะเลทรายตรงนี้เกิดจากลมค่ะ ลมพัดทรายจากชายฝั่ง หลายๆที่ จนเกิดเป็น dune 45 ทำไมเรียกว่า dune 45 เพราะมันตั้งอยู่ห่าง 45 กิโลเมตร จากประตูทางเข้า

 

IMG_0302

 

เตรียมตัวขึ้น

 

IMG_0303IMG_0304

 

ระหว่างที่ขึ้นไป ยังไหวอยู่ อากาศยังไม่ร้อนเท่าไหร่ แต่ลมได้พัดรองเท้าแตะหลุดไปแล้วค่ะ

ภาพนี้เพื่อนแอบถ่าย 555+ อาหมวยท่องโลกยังยิ้มได้ แม้ว่ารองเท้าจะหายไปแล้วข้างหนึ่งก็ตาม

 

IMG_0333

 

ต้องบอกก่อนว่า ทะเลทรายที่นามิเบีย ลมแรงมาก และอากาศร้อนมาก. ส่วนตัวเคยไปทะเลทรายโกบีที่มองโกเลีย ยังไม่เจอลมทรายขนาดนี้ แต่อันนี้คือพัดเข้าตาตลอด แสบมาก ลืมตาไม่ได้เลย

 

ตอนเริ่มเดินยังไม่เท่าไหร่ มองจากจุดเริ่มต้นคือ ดูไม่ไกลใช่ไหม แต่พอเมื่อเราเริ่มเดินต่อไป ยิ่งไกลมากขึ้นทุกที ลมทรายยิ่งพัดแรงมากขึ้น ลืมตาไม่ได้เลย. หันมาดูอีกทีกล้องเราเต็มไปด้วยทราย ติดตามซอกเล็กซอกน้อยเต็มไปหมด จะเปิดกล้องถ่ายรูป ก็ยังทำไม่ได้ จุดนี้คือสงสารกล้องตัวเองมากกว่าตัวเองซะแล้ว เป็นความพลาดของตัวเอง ที่เอากล้องใหญ่ขึ้นมาบนนี้

 

เดินไปได้ซะพักใหญ่ ขอนั่งพักกับฝรั่งคนหนึ่งที่นั่งอยู่ พูดเลยมาหมดสภาพ เพื่อนบอกว่า เห้ยเมิงถ่ายรูปให้หน่อยดิ. ตอบกับไปว่า โอ๊ย ทรายเข้าปาก เข้าตากรู ลืมไม่ขึ้นอยู่เนี่ย 555+ จุดนั้น ถ่ายตัวเองยังไม่ได้เลย. เดินต่อซักพัก. โครตร้อน ลมแรงมากกว่าเดิม มองไม่เห็นเลย ตัดสินใจเดินต่ออีกนิด ลมก็พัดทรายกระหน่ำกว่าเดิม. ตอนนั้นมี ฝรั่ง(ตัวใหญ่พอสมควร) เดินหอบตามหลังมา. เราหันไปบอกเขาว่า you can go, after you (คุณไปได้เลย ฉันจะตามหลังคุณไป) เขากับบอกว่า เธอไปเหอะ ฉันไม่รีบ พร้อบเสียงหอบ คงเหนื่อยมากน่าดู และ นี่ก็คือสภาพเราเช่นกัน พอนึกย้อนถึงตอนนั้น ตลกตัวเองอยู่เหมือนกัน เกี่ยงกันเดินกับฝรั่ง. คราวนี้ เดินไปอีกนิด ตัดสินใจเดินลง เพราะร้อน ขาลงลมพัดแรงกว่าเดิม มันคงจะบอกเราว่า อย่าลงนะ อย่าลง. พยายามดึงเสื้อปิดกล้องไว้ แต่จับเสื้อไม่ได้เลย ลมแรงพัดจนเสื้อคลุมหลุด โชคดีที่มือถือไม่ตกลงไปในทราย

 

และเช่นเคย เพื่อนแอบถ่ายอีกแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมนางถ่ายได้ หรือเพราะว่าเราเตี้ยกว่านาง 555

IMG_0389

 

เมื่อลงมา เราก็มาแสตนบายถ่ายรูปนางตอนลง ทรายพัดแรงสุดยอด สังเกตได้จากรูปถ่าย

 

 

IMG_0390

เดินเล่นถ่ายรูปข้างล่างอีกสักนิด

IMG_0391

 

นี่สภาพหลังจากลงมาจากทะเลทราย สังเกตที่รองเท้า และผ้าผันคอ หายค่ะ

รองเท้าแตะปลิวหายข้างหนึ่งในตอนที่เดินขึ้น ยืนถ่ายรูปข้างล่างซะพัก ผ้าผันคอปลิวเดินตามไปหยิบแต่ทรายพัดหายไปแล้ว ไม่เจอค่ะ ของเพื่อนต่างหูปลิวหลุด และฝากล้องก็หลุดหายเหมือนกัน 5555+

 

จากนั้นต้องเรานั่งรถ 4 w เข้าไป จ่ายคนละ 150 แรนด์ แล้วจึงลงเดินเข้าไปชม Deadvlei จุดหมายของเรา รถจะพาเราไปจอดตรงหน้าทางเข้า Deadvlei

IMG_0394

รถที่พวกเรานั่งไป รูปร่างแบบนี้ค่ะ

 

เมื่อมาถึง เราต้องเดินเข้าไป ระหว่างทางเดินไปจะผ่าน Big Daddy เนินทรายที่สูงที่สุด เดินกันไกลพอสมควร อากาศร้อนระอุมาก ไม่สามารถเดินเท้าเปล่าได้เลย พอจับกล้องที่สะพายมาร้อนจี่ สงสารกล้องอีกแล้ว. คนขับบอกให้เอาน้ำมา เข้าใจแล้วว่าทำไม มันร้อนมาก เหมือนถูกเผาอยู่บนเตา เหนื่อยมากกว่าเดิม เพราะต้องเดินขึ้นเนินทรายตลอดในระหว่างทางที่ไป Deadvlei อากาศที่ร้อนระอุคืออุปสรรคสำคัญเลย

IMG_0395

ขยับเข้ามา ใกล้ขึ้นอีกนิด ระหว่างนี้เราต้องเดินพัก เพราะเหนื่อยมาก เป็นคนที่อยู่ในที่อากาศร้อนมากๆไม่ได้เลย เหนื่อยมากเป็นพิเศษ. ปกติแล้วจะชินกับอากาศหนาวมากกกว่า เพราะเคยศึกษาอยู่ที่รัสเซีย เจอ อากาศ -35 ก็เจอมาแล้ว แต่อยู่ได้ ไม่มีปัญหา พอเจอทะเลทรายนามิเบียเข้าไป พูดเลยว่า โหดจริง

 

 

มาถึงแล้ว กัดฟันอดทนมาเพื่อตรงนี้ คุ้มมากกับสิ่งที่เห็น. ถ้ามากับทัวร์ เขาจะให้เวลาคุณตรงนี้แค่ 20 นาที (ไม่แน่ใจว่านับตั้งแต่ทางเข้าไหม เพราะเดินตั้งแต่ทางเข้ามาตรงนี้ ไกลพอสมควร เวลาน้อยไปนิด). เรามากันเอง เลยไม่ต้องกังวลเรื่องเวลา

 

 

เดินไป หอบไป ถ่ายรูปไป

 

 

ในภาพดูเหมือนไม่ร้อนมาก แต่ของจริงบอกได้เลยว่า คุณไหม้แน่นอน

IMG_0399IMG_0400

เหนื่อยขนาดไหน ภาพนี้น่าจะตอบคุณได้ เพื่อนแอบถ่ายอีกแล้ว ณ จุดนั้น ขาเมื่อยมาก เพราะตอนขึ้นทะเลทราย ขาเกร็งมากเป็นพิเศษ

 

อยู่ที่ deadvlei นานอยู่เหมือนกัน ถึงเวลาต้องบอกลาแล้ว

IMG_0401

 

ตอนกลับเราต้องเดินถอยหลังกลับ เพื่อลดแรงโน้มถ่วง เห็นเพื่อนทำ เลยทำตามบ้าง ช่วยได้เหมือนกัน แต่ก็ยังเหนื่อยอยู่ดี ความจริงพวกเราควรนั่งพักแบบคู่นี้

IMG_0402

เดินช้ามาก ถึงช้าที่สุด หมดแรงและหมดสภาพ

เมื่อถึงหน้าประตูทางเข้า คนขับรถกับไกด์ บอกว่าให้นั่งพักก่อน 55+ สงสัยเห็นเราเหนื่อยมาก. ไกด์บอกว่า ฉันเข้าไปเดินด้วยไม่ได้เพราะฉันมีอายุมากแล้ว ฉันอาจหัวใจวายได้

ไกด์บอกเพิ่มเติมอีกว่า วันนี้พวกคุณน่าจะเดินเกินกว่า 20 โลนะ นี่คือประโยคที่ช่วยทำให้หายเหนื่อยไหม พูด!!!! 55+ เดินเยอะไม่เกี่ยวนะ แต่อากาศที่ร้อนแบบนี้ ทำให้เหนื่อยมาก เหนื่อยสุดๆ

 

 

 

 

 

ส่วนบ่ายคนขับพาเราไปกินอาหารกลางวันที่โรงแรมใกล้ๆกับ Sossusvlei เราสิงอยู่ที่นั้นเล่นไวไฟ รอตอน 4 โมงครึ่งเพื่อออกไป Sesriem Canyon อากาศร้อนเกินกว่าที่จะเที่ยวตอนกลางวันได้

 

ดูวิวระหว่างทาง

IMG_0442

 

 

จาก Sossusvlei มา Sesriem Canyon ไม่ไกลเลย ขับรถประมาณ 15 -20นาทีได้

 

IMG_0443

ภายในหุบเขา เฉยๆ ไม่มีอะไรน่าสนใจมากนัก. ตอนพวกเราออกจากหุบเขา แดดส่องลงมาที่ Canyon พอดี เลยถ่ายรูปไว้หน่อย

 

ขากลับ อีกฝั่งหนึ่งฝนตก เลยเกิดสายรุ้ง อาหมวยท่องโลกก็ไม่พลาดที่จะเก็บภาพ

 

IMG_0444

ทริปนี้เหนื่อยสุดๆ แต่ครั้งหนึ่งในชีวิตได้มาที่นี่ ก็มีความสุขแล้วค่ะ