ปูซาน-ตกหลุมรักเธออีกครั้ง

ปูซาน – ตกหลุมรักเธออีกครั้ง

เคยเป็นไหม สถานที่ที่เราเคยไปแล้ว พอให้กลับไปอีกครั้ง กับรู้สึกเฉยๆ คนรอบข้างพูดหนาหูว่า อยากไปปูซาน เราก็งงเด่ะ ก็ไปไม่มาแล้ว ก็ดีนะ แต่ยังไม่สุด คุยกับเพื่อนเกาหลี มันก็บอกว่า ไม่มีอะไรนะ ตัวเขาเองยังไม่ไปเลย มานั่งๆๆคิดดู เห้ย มันต้องมีอะไรเด่ะ คนถึงอยากไปกัน สุดท้ายทนเสียงทะเลาะกันในหัวตัวเองไม่ไหว เอาว่ะ ไปมันอีกสักรอบ ไปพิสูจน์ให้รู้กันไปเลย ว่ามันมีอะไรดี  และที่สำคัญอยากไปหมู่บ้านวัฒนธรรมกัมชอน เพราะตอนที่อาหมวยไปปูซานครั้งแรก หมู่บ้านวัฒนธรรมกัมชอนไม่ได้เป็นแหล่งท่องเที่ยวของปูซานเหมือนทุกวันนี้

 

อาหมวยตัดสินใจกลับไปเกาหลี 1 เดือน โดย 1 ในจุดหมายปลายทาง ก็คือปูซานนั้นเอง   ซื้อตั๋วกระชันชิดมาก  โชคดีทีได้ตั๋วโปรโมชั้น ไปกลับ กรุงเทพ-โซล  สายการบิน ฮ่องกงแอร์ไลน์   ฟูลเซอร์วิส(รวมอาหาร และกระเป๋าเดินทาง 20 กิโลกรัม) ในราคา 11000 บาท ผ่านเว็บจองตั๋วเครื่องบิน       Traveloka 

 

โชคดีสุดๆ เพราะตอนนั้น ราคาตั๋วเครื่องบินสายการบินโลวคอสทปาไป 13000 บาท ไม่รวมอาหาร และ กระเป๋าด้วยนะ

 

บทความนี้ จะขอมารีวิวแค่เมืองปูซาน   เมืองอื่นๆ เดี๋ยวอาหมวยจะมารีวิวที่หลังนะ

 

 

 

วันเดินทางไปปูซาน

 

ได้ฤกษ์ออกเดินทาง อาหมวยกับเพื่อนญี่ปุ่นตื่นสาย มาไม่ทันรอบที่จอง แต่ไม่เป็นไร เรามีKorail Pass

 

Korail Pass  เป็นพาสที่ใช้เดินทางไปเมืองต่างๆของเกาหลี โดยรถไฟ โดยเลือกวันที่เราเดินทางสะดวก และสามารถนั่งกี่รอบก็ได้ภายในจำนวนวันที่เราเลือก

 

อ่านรายละเอียดได้ที่

http://www.letskorail.com/ebizbf/EbizBfKrPassAbout.do

 

ของอาหมวยเลือกแบบ Korail Pass 2 day แบบ Flexible

 

702F2672-F205-4C18-A11D-84C387E21F47

ก่อนอื่น ถ้ามาไม่ทันรอบที่เราจอง พนักงานเกาหลีบอกว่า ควรไปยกเลิกตั๋วเดิมที่เคาเตอร์จองตั๋วก่อน แล้วจึงจองตั๋วรอบใหม่ได้ (เพื่อคนอื่นจะได้มีที่นั่ง เพราะระหว่างนั่งรถไฟไปปูซาน จะแวะจอดตามเมืองต่างๆด้วย)

 

61D3A2F1-2CD5-43AD-A45B-42E9AE14C503

ชานชาลา สีขาววับ นึกถึง Train to Busan หนังเรื่องนี้ ดูเพราะ ชื่นชอบในฝีมือการแสดงของพระเอก ดูไปดูมา อึ้งเลย ต้องตบมือให้กับหนังเรื่องนี้จริงๆ

 

 

รถไฟจะออกแล้วนะคะ  เอาภาพรถไฟขากลับมาให้ดูแทน

CB224DDB-8A42-40B1-BC39-828335E156E6

 

ขอดื่มเครื่องดื่มสักหน่อย

7A285DCA-54EB-4804-A11D-5B3158DC2F54

 

สภาพข้างในรถไฟ ดูดีมาก จำได้ว่าตอนมาปูซานครั้งแรก เรากับเพื่อนเกาหลีได้ตั๋วยืน ตัดสินใจกันกระทันหัน ตั๋วเต็ม ยืนไปแทน คราวนี้จองล่วงหน้า ได้นั่งกับเขาบ้าง

 

ภายในรถไฟ

 

 

ที่นั่ง Bussiness  class

 

4874037E-24D1-48F3-9851-14F4FF7876AD

 

 

ที่นั่งปกติ

93A8BD8C-F26F-4E52-9F4B-845CA1A63AE5

 

 

ห้องน้ำ

AF30BEFF-BAEC-4EF4-A82E-751EE9CC7656

 

รอบนั้นที่ยืนไป จำได้ว่า ทุลักทุเล ต้องเดินไปเดินมาตลอด ตอนที่คนลงไป เรากับเพื่อนไปส่อง ที่นั่ง พอว่างปั๊ป ก็ไปหย่อนตูดลง นั่งไปสักพัก เจ้าของที่มาทวงคืนที่นั่ง ทำตาปริบๆๆ ให้เห็นใจก็คงไม่ได้ จำใจลุกขึ้นแล้วส่องที่นั่งว่างต่อไป 555+ ถ้าไม่คิดอะไรมาก ก็ถือซะว่าเป็นการเผาพลาญพลังงานในตัวล่ะกัน

 

ถึงแล้วสถานีรถไฟปูซาน

696FFA0E-22CF-4199-B310-B17EE1B6FADE

 

 

เราออกมาข้างนอกเพื่อต่อรถไฟฟ้าใต้ดินไปที่พัก

08ACDF62-4676-474A-8143-7DA9166C707C

 

สถานีรถไฟปูซานอยู่ที่สถานีปูซานเลย   สายสีส้ม  หมายเลข 1   ถือว่าอยู่ในใจกลางเมือง เดินทางสะดวก  ใช้บัตร T-Money  จากโซลได้เลย ไม่ต้องซื้อใหม่

384B61C0-B82E-4376-AA97-6B1A28D0F025

 

 

สถานที่ท่องเที่ยว

1.Busan Gamcheon Culture Village

หมู่บ้านวัฒนธรรมกัมชอน หรือซานโตรินีเกาหลี  บ้านสีสันสดใสนับพันตั้งเรียงรายไปตามความลาดชัดของภูเขา  เมื่อก่อนหมู่บ้านนี้ เป็นหมู่บ้านที่จนที่สุดในปูซาน แรกเริ่มมีบ้านไม่กี่หลัง  แต่ในช่วงสงครามเกาหลี มีผู้อพยพย้ายมาอาศัยอยู่ที่นี่ จึงได้มีการสร้างบ้านเพิ่มอีกประมาณ 800 หลัง  หมู่บ้านนี้ในเริ่มแรกไม่ได้รับความนิยม แต่พอเริ่มมีการเพ้นท์ภาพกำแพง และ มีผลงานศิลปะต่างๆ ตั้งในบริเวณรอบๆ หมู่บ้าน จน 2012 ชนะรางวัล UN Asian Townscape Award  หมู่บ้านแห่งนี้จึงได้รับความนิยมมากขึ้น  จนกลายเป็น 1 ในสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตของปูซาน  รู้แบบนี้แล้ว อาหมวยก็ต้องมาเก็บค่ะ

BD746B1E-EB77-47A0-844E-9F91DF72DBA2

 

วิธีการเดินทาง

นั่งรถไฟใต้ดินลงสถานี Toseong (สายสีส้ม หมายเลข 1)  ออกประตู 6  แล้วนั่งรถบัสสาย 1, 2 หรือ 2-1 นั่งไปลงที่หน้าหมู่บ้าน

 

ในหมู่บ้าน  มี Art Works เยอะมาก

 

จุดชมวิวที่ทุกคนต้องมา

00F09486-754F-4FCA-B542-6F46C6919FA8

1B0C2359-2D6E-4B7C-A3B6-60A6A15E1832.jpeg

2. ย่านนัมโพ

ย่านช้อปปิ้งที่อยู่ใจกลางเมืองปูซาน

2764E852-2F64-4C5A-879C-690E0F3BBBD8.jpeg

วิธีการเดินทาง

นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินลงสถานี Nampo   ออกประตูหมายเลข 1 เดินใกล้หน่อย

 

 

BA5B22FD-BDFD-4FB9-B8DB-60CE79E7A2A1B1AAAA63-F914-4258-87B6-0B78336637C7

2 ข้างทาง เต็มไปด้วยร้านอาหาร  ร้านเสื้อผ้า  รองเท้า กระเป๋า เต็มไปหมด

 

76E366BB-E8CE-487F-BDDE-FFF433D974CB

 

 

ย่านนี้มีร้านเค้ก ที่คนเกาหลีนิยมมาก  คือ ร้านเค้กที่เราสามารถตกแต่งเค้กได้เอง  ร้านอยู่ชั้น 3 ในตึกข้างๆ ตึก KB

2737440B-F6CB-4A3D-998D-43F0E3486F62.jpeg

 

 

ช่วงเย็น  สามารถมาหาของกินที่นี่ได้   แถวนัมโพ จะมีตรอกซอยอาหารอยู่   อาหารน่ากินหลายร้านมากๆๆๆ   เลือกกันไม่ถูกเลยทีเดียว

FF7B5124-1653-4D6F-880F-7A81F99F810A

 

3. สวนยงดูซาน และ หอคอยปูซาน 

 E4888048-4A04-445D-9FE6-5B0BBAC4CC3E

 

วิธีการเดินทาง

ออกสถานี Nampo  ประตูหมายเลข 1    เราสามารถขึ้นไปชมวิวเมืองปูซานจากตรงนี้ได้

ออกจากประตูหมายเลข 1   ให้เดินไปทางด้านหลัง  เลี้ยวซ้ายเข้าซอย  จะเจอบันไดเลื่อนขึ้นไปสวนยงดูซาน

 

 

ค่าขึ้นหอคอย 8000 วอน     ตอนที่ขึ้นลิฟต์จะมีเจ้าหน้าที่จะขึ้นลิฟต์ไปส่งเราด้วย

 

ระหว่างทางขึ้น

 

590271D9-ABC4-490B-875E-BCABFC54F7B2

จะเป็นบันไดเลื่อนมาตลอด ประมาณ 3 ช่วงได้  จากนั้น ขั้นสุดท้าย เราต้องเดินขึ้นบันได้เอง    เที่ยวปูซานเนี่ยได้ออกกำลังเยอะเหมือนกันนะ  5555+

 

 

Pusan Tower  นั่นเอง สูง 120 เมตร   เราจะขึ้นไปชมวิวที่หอคอยนี้

 

A58963A5-72A0-4F1C-8DBE-3ED3E56F49F9

รูปปั้นของนายพลเรือ อีซุนซิน   คนเกาหลีทั้งหลายต่างให้ความเคารพนายพลเรือท่านนี้มาก  เพราะท่านเป็นผู้นำกองทัพเรือเกาหลีเข้าต่อสู้กับกองทัพเรือญี่ปุ่นที่เข้ามารุกรานเกาหลีในสงครามอิมจิน ในสมัยราชวงศ์โชชอน

 

 

ขึ้นมาชมวิวข้างบนกันดีกว่า  มาตอนเย็น บรรยากาศดีไปอีกแบบนี้

E3C7AA4E-B7D1-4FA1-A851-4159E29717D7

 

 

แปปนึง พระอาทิตย์ตกแล้ว เลยได้บรรยากาศที่สวยไปอีกแบบ

4E8A5F22-D818-4394-9F98-9116EA5FB6C1

 

 

มาช่วงเย็นคนจะเยอะมาก  เบียดกันเพื่อรอถ่ายรูป

 

 

00CD8CE5-76C8-46EF-81FA-76C5E4CEA7747945C637-5A0B-45F7-A58E-29456DF73E6A

 

ตอนลง เราต้องมารอลิฟต์ กดลงเองไม่ได้นะคะ ต้องรอพนักงานพาลงไป

 

 

ออกมาก็จะเจอจุดถ่ายรูป น่ารักมาก   ถ่ายรูปกันเพลินเลยตรงนี้

AE5EF99A-6FC9-4EA2-875A-9F607628BB4C

327F7E23-43CD-4334-89D1-B64CE762053BE9489BD7-76D1-47ED-B7D2-F876654DA451

 

 

4. หาดแฮอุนแด   หาดนี้ไม่มา ก็เหมือนมาไม่ถึงปูซาน  

การเดินทาง  

นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีเขียว หมายเลข 2 มาลงสถานี Haeundae   ทางออก 3 หรือ 5 ก็ได้ค่ะ

ECC58E2E-6685-422A-9FF2-2622C1E1BA49

แฮอุนแด เคยมาแล้ว แต่ก็อยากจะมาดูอีกสักรอบ  ว่าจะเปลื่ยนแปลงไปอย่างไร  เท่าที่สังเกตเห็นรู้สึกว่า ดูครื้นเครงมากขึ้น  คนเดินเยอะขึ้น  ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า

 

ระหว่างทางเดินไป เต็มไปด้วยตึกสูงๆเรียงราย

F77E33D7-3CC7-4903-A6C5-1C3CA2A35219

 

เราขอแวะกินข้างทาง  เป็นร้านขาย Street Food   อร่อยดี

11654A59-762B-40BF-98FA-80CC95436761C4A53335-4174-4D4B-8D1F-B42E2C28063B

เราชิม  รามยอนโป๊ะกี้   อร่อย ชอบ โอเด้งไม่คาว

 

 

ดูบรรยากาศวิวชายหาด    เดินชิวๆๆ ถ่ายรูป

53ECAF3A-2CEE-4CF1-9724-A1E3545E275479C9A034-9F0E-4A65-9A2F-992AE09D3950

 

ขากลับ

01D79BC0-01C1-4738-8BD5-690BD15CAB6D

 

 

ตรงแถวหาดแฮอุนแด  แนะนำให้แวะตลาดแฮอุนแดด้วย  เพื่อไปซื้อต๊อกเจ้าดังของที่นี่    

 

ร้านชื่อว่า  ซังกุกอีเนคิมบับ 

F80934D1-3BDE-49E7-A432-3D502C88331B

 

 

คนเยอะมาก ๆ     ด้วยความอิ่ม  เลยห่อกลับไปกินที่บ้าน    ร้านนี้มีขายเป็นเซตด้วยนะ เหมาะสำหรับกินหลายคน

A255E324-224B-44AE-9D99-FA39768599D7

ไว้ๆอาหมวยว่างๆ จะมาทำรีวิวร้านอาหารอร่อยในปูซานนะ

 

 

 

 

5. ตลาดปลาชากัลชี  ตลาดปลานี้ไม่มาก็ไม่ได้อีก เพราะเป็นตลาดปลาที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเกาหลีเลยนะ

8DF6C9DD-CA17-4022-BBC3-CCA9878C1F1A

การเดินทาง

นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีส้ม หมายเลข 1 ไปลงสถานี Jagalchi

 

 

E8E45B3D-65F2-49BD-8892-BA19C6DFE1C3

ที่นี่ขึ้นชื่อว่า ต้องมาชิมปลาทอด   แต่อาหมวยไม่ได้ชิม เพราะ ไม่ชอบกลิ่นคาวปลา เห็นปลาตัวยาวๆ  ว่ายไปมา หรือถูกวางเรียงราย รู้สึกอยากอ้วกนิดนิด

 

ถ่ายรูปในตลาดปลาแล้ว  อย่าพึ่งกลับนะ  ให้เดินตรงไปจากหน้าประตูทางเข้าตลาดปลา      เราจะไปท่าเรือนัมโพกัน

2AB34604-1405-4ABF-A6ED-0034E7D579CB

 

6. ท่าเรือนัมโพ

เดินตรงมาจากตลาดปลาชากัลชีได้เลย    จุดนี้แนะนำควรมานะ  เพราะวิวท่าเรือสวยมาก โดยเฉพาะยามเย็น

 

E8A89E38-4687-4F6B-9A90-E92CA5294BE0

ดูวิวกัน

C579ED32-BA7E-4DF0-855B-B9537572BD5F1323D8B5-9CC0-4B31-A17F-3F483B0D57D8

 

 

3000022D-8441-4DEF-96EF-71D1ABA2A965

 

 

งานแอบถ่ายนกก็มา ยืนแอบถ่ายนกอยู่นาน ถ้าเพื่อนไม่รอ นังหมวยคงถ่ายมันต่อไป

3670C22C-DC7A-438D-B233-4BEC73579A8E

 

1EBFB419-061A-4550-AA95-DC9D588AD8DF

 

 

7.  BIFF SQUAR   ถนนของกินของช้อป ที่ใช้จัดแสดงงานภาพยนตร์นานาชาติของเมืองปูซาน

 

วิธีการเดินทาง 

นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินลงสถานี    Jagalchi

 

ด้านหน้าของถนน BIFF Square

0D385322-5BB5-4D77-8E27-2212706CAE90

 

 

ถนนแห่งนี้ เต็มไปด้วยของกิน และของช้อปปิ้ง     ถ้าใครอยากจะชิม Street Food ของปูซาน   แนะนำให้มาที่นี่

 

924C11EC-E06F-46F6-B88C-93C969080157

 

อาหาร Street Food ของที่นี่  มีหลายอย่างมาก  เช่น ชีอัจโฮต๊อก  ข้าวยำปูซาน  พิซซาเกาหลี  โอเด้ง และ บลาๆๆๆๆ

 

บนถนนมีลายพิมพ์มือของดารานักแสดงของเกาหลีด้วย

9F38B29F-2CC3-46D4-A3AA-8F89C1D8ADCC

 

 

ชีอัจโฮต๊อก  ต๊อกใส่เมล็ดธัญพืน อร่อยเด็ด

B8909A22-9B0A-4133-88DA-98C049B227E6

 

ก๋วยเตี๋ยวยำ

2C3D1A30-5662-4433-A166-24C8334ECCED

 

เกี้ยวเกาหลีและผัดปลาหมึก

82C3B2ED-DD62-4F00-94DF-97FB69006AC5

 

 

ต๊อก

1BFA7D2F-E67A-4BD0-80DD-E2322D884F28

 

 

 

จากตรงนี้เดินไปเรื่อยจะ เจอตลาดขายส่งด้วย   ชื่อว่า กุ๊กเจชีจัง  ของถูกเต็มเลย   อาหมวยเดินเข้าไปถ่ายรูป  ไม่ได้ช้อปอะไร เพราะช้อปที่โซลไปเยอะมากแล้ว

22F3DAAE-642C-45DB-9CCE-F3F66046B43E

 

ป้ายต่างๆ ที่ติดตามร้าน ทำให้เรานึกถึงเยาวราช ของประเทศไทย

 

C3A6477B-48C4-4467-952A-3BEC65CFD3DD

 

 

 

 

 

8. หาด Songdo

F8A1C896-2D32-4A07-9E0A-B12D52E91F7B

วิธีการเดินทาง

สามารถนั่งรถบัสหมายเลข 26 จาก สถานีนัมโพไปได้

 

 

หาดนี้เป็นที่นิยมมากของคนเกาหลีในฤดูร้อน  ตรงหาดนี้ สามารถนั่งเคเบิลลอยฟ้าถ่ายรูปทะเลได้ด้วย   โดยส่วนตัว ชอบหาดนี้มากกว่า แฮอุนแดนะ

207482CC-B810-4A53-A5EA-D64598D91E4A

ชื่อหาดมีความหมายด้วยนะ แปลว่า หาดต้นสน

 

หาดซงโดเคยพายุเฮอริเคนพัดถล่มอยู่หลายรอบ  รัฐบาลได้สั่งให้ปิดซ่อมแซม 5 ปีเลยทีเดียว แล้วจึงให้ประชาชนได้เข้าใช้บริการอีกครั้ง

 

 

 

5D1132F0-0789-4345-9B77-FF13A4B0212B

ก่อนเราจะเดินไป Skywalk เพื่อถ่ายรูป  เราจะผ่านเกาะเล็ก  คนเกาหลีเรียกว่า เกาะเต่า เพราะมีเต่าเยอะมากนั้นเอง

 

 

137CAABD-9B11-4B3D-BCAF-BA65B4424C61

 

เข้าสู่สกายวอค

 

 

A56458F0-3ABC-487A-8037-99343338CF58

 

เห็นคนเกาหลีหลายคนไม่กล้าเดินตรงกระจก แอบขำเล็กน้อย แต่ความจริงอาหมวยก็แอบเสียวแหละ   5555+

 

B9014C3A-246F-4809-8D02-2A9C000AAFF9

 

 

วิวตรงนี้สวยมาก

C0711FC1-DC50-46C8-AA06-7E1C875F1DC3

 

 

จริงรู้สึกชอบและดีใจที่ตัดสินใจกลับมาที่ปูซานอีกครั้ง  ไม่น่าเชื่อว่า ปูซานจะมีเสน่ห์แบบนี้  ทริปปูซานครั้งนี้คือ มันดีอ่ะ

 

ทริปครั้งก่อนจำได้ว่า ปูซานยังไม่ฮิตขนาดนี้  สถานีท่องเที่ยวยังไม่เยอะขนาดนี้เช่นกัน   ให้กลับไปอีก กลับไปค่ะ  กลับไปแน่นอน

 

ขอย้อนวันวาน  ตอนนั้นยังผมแดงอยู่เลยค่ะ

 

ทริปปูซานเมื่อปี 2011

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

“ระยอง” จ๋ารอพี่ด้วย 5 กิจกรรมสุดจี๊ด พร้อมที่พักเก๋ๆ ในเมือง

“ระยอง” จ๋ารอพี่ด้วย 5 กิจกรรมสุดจี๊ด พร้อมที่พักเก๋ๆ ในเมือง

 

cover rayong

 

“ระยอง” ไม่ได้มีแค่ทะเลหรือเกาะเสม็ดเท่านั้น ระยองมีที่เที่ยวเยอะมากกกก (ก.ไก่หลายตัว) จะบอกว่าเป็นจังหวัดที่ครบก็สามารถพูดได้ ทั้ง ทะเล ภูเขา น้ำตก ไร่สวนผลไม้สไตล์บุฟเฟ่ต์ ร้านอาการก็เยอะ ที่พักระยองก็เพียบ อีกทั้งยังเดินทางไม่ไกลด้วย หากขับรถยนต์มาจากกรุงเทพฯ ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว หรือจะนั่งรถโดยสารสาธารณะก็สะดวก ได้ทั้งรถตู้ รถทัวร์ เลือกได้แล้วแต่ความสะดวก

การมาเที่ยวระยองครั้งนี้ของเราไม่ได้โฟกัสที่ทะเล หรือเกาะเสม็ด ส่วนหนึ่งเพราะไม่ชอบเล่นน้ำทะเล แต่ก็ชอบเที่ยวทะเล งงเด้! เราชอบบรรยากาศทะเล ที่มีทั้งความสวย ความเศร้า ความโรแมนติก ความชิล อยู่ในที่เดียวกัน ไม่ว่าจะอารมณ์ไหน หากมาเที่ยวทะเลก็ช่วยให้สบายใจได้ แต่ทะเลเท่านั้นหรอที่ทำให้คนเราสบายใจขึ้นได้? มาระยองคราวนี้เลยไปที่ๆ แตกต่างจากเดิมๆ และระยองก็เป็นจังหวัดที่มีกิจกรรมครบครันอย่างที่บอกไว้ตอนแรก แต่จะมีที่ไหนที่ทำแล้วสนุก ผ่อนคลาย เติมพลังได้บ้างก็ไปลุยพร้อมกันเลย

 

1 เกาะทะลุ

koh-talu-island-rayong

อยู่ไม่ไกลจากเกาะเสม็ด นั่งสปีดโบ๊ทประมาณ 20 นาทีก็ถึงแล้ว สำหรับ “เกาะทะลุ” การได้เห็นความงามของเกาะทะลุเป็นอะไรที่ว้าวมาก น้ำสีฟ้าใสๆ ไหลผ่านทะลุถึงกัน ถ่ายรูปรัวๆ ไปหลายรูปกันเลยทีเดียว เกาะทะลุที่ระยองนั้นนั่งอยู่บนเรือชมความทะลุเท่านั้น ไม่สามารถลงไปเดินเล่นชายหาดได้ เพราะเกาะทะลุของที่นี่จะอยู่ริมผา ไม่มีบริเวณให้เดินเล่น แต่อีกฝั่งของเกาะจะมีหาดสวยๆ ขาวๆ ให้ได้เดินชิลเล่นได้

ช่วงเวลาที่ควรไป จริงๆ แล้วก็ไปได้ตลอดทั้งปี แต่หากเป็นช่วงมรสุมหรือหน้าฝนคนขับเรือเขาก็ไม่ไปให้

ค่าใช้จ่าย: ส่วนใหญ่จะเป็นวันเดย์ทริป พาเที่ยวรอบเกาะ มีกิจกรรมดำน้ำด้วย ทั้งแบบน้ำลึก น้ำตื้น มีอาหารกลางวัน เฉลี่ยแล้วคนละ 600 บาท (ราคานี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้)

 

2 พระเจดีย์กลางน้ำ

 

Chedi 1

 

พระสมุทรเจดีย์ หรือ เจดีย์กลางน้ำ เป็นสิ่งที่ชาวระยองเคารพนับถือเป็นอย่างมาก ตั้งสวย สง่างามด้วยความสูงกว่า 10 เมรตร  สีขาวที่โดดเด่น อยู่บนเกาะกลางน้ำที่ถูกล้อมรอบด้วยป่าชายเลน การที่มาเยือนที่แห่งนี้นอกจากได้สักการะไหว้พระแล้วยังได้เที่ยวชมความอุดมสมบูรณ์ของป่าชายเลน ภายใต้ชื่อ “ศูนย์การเรียนรู้ป่าชายเลน พระเจดีย์กลางน้ำ” อีกด้วย โดยมีสะพานปูนให้เราเดินเล่นชมธรรมชาติยาวกว่า 200 เมตรกันเลยทีเดียว

 

 

3 อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า

อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า

แอบรักเขา ก็ต้องไปหาเขา “อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า” ไปหาแล้วไม่มีผิดหวัง เพราะมีจุดชมวิวสวยมาก เห็นเกาะเสม็ดจากมุมสูงด้วยนะ ที่สำคัญคนที่รักการถ่ายรูปก็ต้องรักที่นี่มากแน่นอน เพราะมีจุดให้ถ่ายรูปงามๆ หลายบริเวณ สามารถแชร์ให้โลกรู้ผ่านโซเชียลได้แบบไม่ซ้ำมุมกันไปเลย ปล.วิวพระอาทิตย์ตกดินที่เขาแหลมหญ้าสวยไม่แพ้กับการนั่งชมที่ริมหาดเลย แต่ถ้าอยากมาชมพระอาทิตย์ตกแนะนำให้มารอก่อน 6 โมงเย็นแสงตอนที่พระอาทิย์ค่อยๆ คล้อยลงไปนั้นสวยที่สุด และโรแมนติกหนักมาก

 

 

4 นั่งเรือตกปลา+หมึก

 

นั่งเรือตกปลา

ออกทะเลตอนกลางวันก็สวยดี แต่ถ้าออกตอนกลางคืนนี่สิตื่นเต้น แถมอิ่มท้องด้วย จะอะไรซะอีกก็ไปตกปลาหมึกตอนกลางคืนกันไง ได้สัมผัสกับการนั่งเรือประมง และได้นั่งตกปลา ตกหมึก กินอาหารทะเลได้สดๆ บนเรือกันไปเลย หากใครไม่เคยลองกินปลาหมึกสดๆ ควรลองนะ เพราะรสชาติดีมากหวานๆ กรุบๆ ให้ลองทั้งแบบมีน้ำจิ้มซีฟู้ดและกินเพรียวๆ จะให้ความรู้สึกที่ต่างกัน แต่ยืนยันว่าอร่อยทั้ง 2 แบบเลย

5. อุทยานแห่งชาติเขาชะเมา เขาวง

 อุทยานแห่งชาติเขาชะเมา เขาวง

 

เป็นอุทยานที่มีชื่อเสียงของจังหวัดระยอง ที่สำคัญมีน้ำตกที่สวยและเล่นน้ำได้ มาพร้อมกับธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์มาก ทั้งต้นไม้หลากหลายพันธุ์ และยังมีสัตว์ป่าบางชนิดให้เราได้เห็นด้วย ที่อุทยานแห่งนี้มีจุดท่องเที่ยวหลายจุด อย่างน้ำตกเขาชะเมาก็สามารถไปดูวงจรของปลาพลวงได้เพราะอาศัยอยู่จุดนี้เป็นจำนวนมาก แต่หากอยากเล่นน้ำตกก็ต้อง จุดน้ำตกคลองปลาก้าง น้ำนี่ใสเชียว ลองเอาเท้าไปจุ่มๆ น้ำก็เย็นชื่นใจชวนให้อยากเปลี่ยนเสื้อผ้าลงไปเล่นแบบเต็มตัวเลยทีเดียว

 

 

 

 

แนะนำที่พัก >> โรงแรม ดี วารี ดีว่า เซ็นทรัล ระยอง (D Varee Diva Central Rayong)

D Varee DivaD Varee Diva 2

 

ส่วนเรื่องที่พัก เราแนะนำ “ดี วารี ดีว่า เซ็นทรัล ระยอง” ด้วยความที่เป็นโรงแรมขนาดใหญ่ การบริการเลยได้มาตรฐาน ห้องพักสะอาด อีกทั้งยังใกล้ชายหาดด้วย เดินไปประมาณ 10 นาทีก็ได้เดินเหยียบทรายขาวๆ แล้ว ส่วนตัวให้ความสำคัญเรื่องการบริการ และความสะอาดมากที่นี่ก็ไม่ทำให้ผิดหวังพนักงานบริการดี ยิ้มแย้มแจ่มใสถือว่าผ่าน ส่วนห้องพักสะอาด หมอนที่นอนไม่มีกลิ่นประหลาดให้ขุ่นคล่องหมองมัวใจ

 

D Varee Diva 3

 

มีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ด้วยหากใครไม่อยากเล่นน้ำทะเลก็มาเล่นน้ำในสระแทนได้ เวลาไปพักที่โรงแรมต่างๆ เราชอบดูรีวิวอาหารเช้าที่สุด ถ้าที่ไหนอาหารเช้า อร่อยจะไม่คิดอะไรมาก รีบจองทันทีเลย และเรื่องอาหารเช้าก็เป็นอีก 1 เหตุผลที่เราเลือกพักที่นี่ คือดีงาม รสชาติพูดได้เต็มปากว่าอร่อย ไลน์อาหารก็มีให้เลือกหลากหลาย รอบๆ โรงแรมไม่เปลี่ยว ใกล้ตลาดโต้รุ่งถ้าเย็นๆ ไม่อยากกินอาหารโรงแรมก็หาอาหารท้องถิ่นกินก็ได้บรรยากาศดี เราว่าที่นี่ทุกอย่างโอเคนะ สำหรับเราให้เลย 3 ผ่าน!

 

สนใจจองที่พักโรงแรม D Varee Diva Central กับ Traveloka

 

ตอนเรามาพัก ราคาประมาณ 1,680 บาท แต่จองผ่าน Traveloka นะ ลองเช็คราคาแล้วจองกับที่นี่ได้ราคาดีสุดเลย หากใครมาเที่ยวระยองแล้วอยากพัก “ดี วารี ดีว่า เซ็นทรัล ระยอง” หรือกำลังหาที่พักระยองราคาเบาๆ ก็ตามไปจองที่ลิ้งค์นี้ได้เลย >> Click

Chic Cafe Around Hongdae ~ร้านคาเฟ่สุดฮิตย่านฮงแด (part 1)

Chic Cafes Around Hongdae ~ร้านคาเฟ่สุดฮิตย่านฮงแด (part 1)

 

 

วันนี้อาหมวยจะมาแนะนำร้าคาเฟ่สุดฮิตในย่านวัยรุ่นสุดคลู ย่านฮงแดนั่นเอง!!!!

 

1. Tone & Manner cafe

 

Tone & Manner อยู่ตรงข้ามร้านขายของเล่น ของสะสม Maison de Aloha ร้านขายของเล็กร้านนี้น่ารักมาก สไตย์วินเทจต้องชอบ

 

ที่อยู่: 337-10, Seogyo-dong, Mapo-gu, Seoul.

 

เวลา ปิด-เปิด: 12.00-23.00 เปิดทุกวัน

ที่จอดรถ:  ไม่มีที่จอดรถ

ราคา: ไม่เกิน 10000 วอน อย่างเช่นกาแฟ แก้วละ 5000 วอน

เมนูแนะนำ : ชานม, กาแฟ, strawberry Latte, เมนู 초속 5 cm , Vanilla sky

 

จุดเด่น: ร้านที่นี่ครีมอร่อยมาก คนเกาหลีพูดกันเป็นเสียงเดียวเลยว่า ครีมอร่อยจริงๆ โดยเฉพาะ pink handmade cream ของ เมนู 초속 5 cm (1 ในลิสต์ที่อาหมวยจะไปโดน)

 

 

การเดินทาง: นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีเขียวมาลงที่ สถานี ฮงแด( 홍대입구) ออกประตูหมายเลข 7 เดินไปประมาณ 10 นาที ถึงคาเฟ่

 

 

มาดูภาพกัน

 

ข้างหน้าร้าน

IMG_9703

 

ภายในร้าน

 

IMG_9701

 

เซฮุน วง Exo ก็เคยมาถ่ายหนังที่นี่นะ

IMG_9706

 

ขึ้นมาชั้น 3 จะเจอที่นั่งสีชมพูแบบนี้ น่ารักเกิน

IMG_9698

 

มาดูบรรยากาศตอนกลางคืนบ้าง

 

Photo Credit: Tone & Manner Cafe

 

 

2. Slow Step

 

เมื่อก่อนร้านนี้เป็นบ้านคน แต่ได้ปรับปรุงมาเป็นคาเฟ่

ที่อยู่: 13-4 Hongik-ro, Seogyo-dong, Mapo-gu, Seoul, South Korea

เวลา ปิด-เปิด: 12.00-23.00 เปิดทุกวัน

ที่จอดรถ: ไม่มีที่จอดรถ

ราคา: ไม่เกิน 10000

เมนูแนะนำ : เค้กต่างๆ โดยเฉพาะ เค้ก strawberry, กาแฟ, น้ำเกรปฟรุ๊ต

 

จุดเด่น: ร้านที่นี่เด่นเรื่องเค้ก เค้กทุกชิ้น ทางร้านทำเอง อร่อยมากๆๆ

Processed with VSCO with g1 preset

 

 

บรรยากาศในร้าน

 

Processed with VSCO with q1 presetProcessed with VSCO with q1 presetProcessed with VSCO with q1 preset

 

 

ขนมเค้กหลากหลาย

 

Processed with VSCO with c1 preset

 

Picture credit: 메이, Jungclo, Soom

 

 

 

ร้านที่ 3 Sketchbook

 

ที่อยู่: 463-33 Seogyo-dong, Mapo-gu, Seoul, South Korea

 

เวลา ปิด-เปิด: วันธรรมดา: 12.00-24.00, วันหยุด: 12.00-22.00

ที่จอดรถ: ไม่มีที่จอดรถ

ราคา: ไม่เกิน 12000 วอน

เมนูแนะนำ: วาฟเฟิลต่างๆ สลัด, แซนด์วิช, แฮมเบอร์เกอร์

 

จุดเด่น: บรรยากาศดี อยู่ไม่ไกลจากฮงแด เซตอาหารกลางวันเพิ่ม 1000 วอน สามารถเลือกเครื่องดื่มเพิ่มได้

 

 

ทำเลดีงาม ในย่านฮงแด

Processed with VSCO with q1 preset

 

 

บรรยากาศด้านใน

Processed with VSCO with q1 presetProcessed with VSCO with q1 preset

 

มาดู Terrace กัน

Processed with VSCO with q2 presetProcessed with VSCO with q2 preset

 

Picture credit: 정마남, LG 유플러스 스토리

 

 

 

4. Talk To u Later (TTUL)

 

ที่อยู่: 260-48 Yeonnam-dong, Mapo-gu, Seoul, South Korea

เวลา ปิด-เปิด: วันธรรมดา: 12.00-24.00, ปิดวันจันทร์

ที่จอดรถ: ไม่มีที่จอดรถ

ราคา: ไม่เกิน 10000 วอน

เมนูแนะนำ : เค้ก และเครื่องดื่ม โดยเฉพาะเค้กสตอเบอรี่ , เทอรามิสุ และเค้กชาเขียว

จุดเด่น: ร้านนี้สำหรับสาวๆๆโดยเฉพาะ ร้านตกแต่งด้วยสีชมพูทั้งร้าน รวมไปถึงเค้ก จะมีสีชมพูเข้ามาผสมอยู่ด้วย

 

สีชมพูหวานแวว!!!

Processed with VSCO with q1 preset

 

ของตกแต่งข้างในเข้ากับสีชมพูของร้านได้อย่างดี

Processed with VSCO with q1 presetProcessed with VSCO with q1 preset

 

 

เค้กน่ากินอะไรเช่นนี้ ต้องไปโดน

Processed with VSCO with g2 presetProcessed with VSCO with g1 preset

 

Picture credit: 안지선, Syrinxcat, 설칠이

 

7 เมืองน่าเที่ยวในยุโรป 2017 ในงบไม่เกิน 1500 บาท ต่อวัน

7 เมืองน่าเที่ยวในยุโรป 2017 ในงบไม่เกิน 1500 บาท ต่อวัน

 

พูดถึง ยุโรป ใครๆก็อยากไปเที่ยวกัน แต่สำหรับคนงบน้อย จะทำอย่างไรล่ะ วันนี้อาหมวยท่องโลกเลยมานำเสนอลิสต์เมืองน่าเที่ยวในราคาไม่เกิน 1500 บาทต่อวัน

 

 

 

1. Budapest, Hungary

เมืองหลวงของประเทศฮังการี อีกเมืองที่ถึงว่าเป็นเมืองยอดนิยมของนักท่องเที่ยว ตัวเมืองนั้นแบ่งออกเป็น 2 ฝั่งโดยมีแม่น้ำ Danube คั่นกลาง มีสะพาน chain bridge อันโด่งดังตั้งสง่าอยู่ตรงกลาง

IMG_9604

 

ชมวิวแม่น้ำ Danube, นั่งเคเบิลคาร์จาก own town ไป castle hill เยี่ยมชมโบสถ์Matthias อันเก่าแก่ที่สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 แวะถ่ายรูปที่ Hero Square จากนั้นไป Fisherman’s Bastion คุณสามารถถ่ายรูปวิวเมือง Budapest ทั้งหมดจากตรงนี้ ตอนเย็น ก็แวะเดินเล่น ชมวิวยามค่ำคืนริมแม่น้ำ Danube และโปรมแกรมอื่นๆอีกสารพัด

 

ส่วนตัวแล้ว ชอบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ของที่นี่ และความโรแมนติกเล็ก โดยเฉพาะตอนที่มองลงมาจากสะพาน

IMG_9603

 

อาหารที่นี่จะเป็นสไตย์ยุโรป แต่ราคาไม่แพงเลย เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในยุโรป อาหารเอเชียที่ฮิตของที่นี่คือ อาหารจีน ให้เยอะ ราคาโอเค

 

IMG_9622

ข้อควรระวัง:
ที่นี่ homeless เยอะ และในรถไฟฟ้าใต้ดิน มิจฉาชีพเยอะ ตอนซื้อตั๋ว ชอบมายุ่ง มาถามว่าให้ช่วยไหม บางทีมาเสนอขายตั๋ว อย่าหลงกล

 

 

ค่าใช้จ่ายคร่าวๆต่อวัน

หน่วยเงินที่ใช้: โพรินท์ฮังการี (HUF) 1 HUF = 0.14 THB

ค่าเดินทางในเมือง: 100 บาท
ค่าอาหารต่อ 3 มื้อ: 450-700 บาท
ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ: 200-300 บาท
ค่าที่พักโฮสเทล(นอนรวม): ถูกสุดตกคืนละ 320 บาท

= ต่อวันไม่ถึง 1000 บาท

 

 

 

 

2. Sofia, Bulgaria

 

IMG_9620

 

ประเทศนี้อาหมวยท่องโลกยังไม่เคยไป แต่วางแพลนไว้ว่าจะไปปีหน้า เท่าที่ศึกษามา ค่าครองชีพถูกมาก สถานที่ท่องเที่ยวนั้นอาจไม่ค่อยมีมากเหมือนประเทศอื่น แต่รับรองได้ว่า Sofia จะหนึ่งในเมืองที่คุณจะต้องทึ่งกับค่าครองชีพและวิวธรรมชาติอย่างแน่นอน

IMG_9617IMG_9618

 

ค่าใช้จ่ายคร่าวๆต่อวัน

หน่วยเงินที่ใช้: Leva(BGN)

ค่าเดินทางในเมือง: 40-50 บาท(ถูกสุดๆ)
ค่าอาหารต่อ 3 มื้อ: 350-500บาท
ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ: 120 บาท
ค่าที่พักโฮสเทล(นอนรวม): ถูกสุดตกคืนละ 230-250 บาท

= ไม่ถึง 1 พันบาทต่อวัน

 

 

 

 

3. Cesky Krumlov, Czech Republic.

 

ถ้ามา Czech Republic คงจะไม่พลาดที่จะไปเมืองนี้ เยี่ยมชมปราสาทเก่าแก่สไตย์โกธิค ที่สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 และชมวิวพาโนรามา นับว่าที่นี่คือเมืองยอดนิยมของ Czech Republic

IMG_9606

 

นักท่องเที่ยวที่นี่ส่วนใหญ่มักเป็นชาวเอเชีย แต่ก็ไม่เยอะเกินไปจนวุ่นวาย ถ้ามีโอกาสได้มา Czech Republic อย่าลืมแวะเที่ยวที่นี่ด้วยนะคะ

 

 

IMG_9605IMG_9607

ค่าใช้จ่ายคร่าวๆต่อวัน

 

หน่วยเงินที่ใช้: โคลูนา เชค (CZK)

ค่าเดินทางในเมือง: 80-100 บาท
ค่าอาหารต่อ 3 มื้อ: 450-550บาท
ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ: 150-200 บาท
ค่าที่พักโฮสเทล(นอนรวม): ถูกสุดตกคืนละ 400 บาท

= เฉลี่ย 1080 บาท

 

 

 

 

4. Zagreb, Croatia

 

IMG_9609

 

ข้อดีของเมืองนี้คือ ไม่ใช่เมืองยอดนิยมของนักท่องเที่ยว ทำให้ไม่วุ่นวาย เงียบ สงบ แถมราคาค่าอาหาร ค่าที่พัก สบายกระเป๋าแบบนี้ ไม่ไปคงไม่ได้แล้ว

IMG_9610

 

ค่าใช้จ่ายคร่าวๆต่อวัน

หน่วยเงินที่ใช้: KUNA (HRK)

ค่าเดินทางในเมือง: 110-150 บาท
ค่าอาหารต่อ 3 มื้อ: 450-700บาท
ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ: 160-200บาท
ค่าที่พักโฮสเทล(นอนรวม): ถูกสุดตกคืนละ 325 บาท

= เฉลี่ย 1045 บาท

 

 

 

5. Bratislava, Slovakia

IMG_9613

เมืองหลวงของประเทศ Slovakia สถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ ก็จะเป็น ย่านเมืองเก่า, Primat’s Palace, Bratislava Castle,St Michael’s Tower

 

IMG_9612

อาหมวยท่องโลกตกหลุมรักตัวเมืองที่นี่ ตลอดเส้นท้างจะผ่านร้านอาหารน่ารักๆ และตามทางก็จะเจอรูปปั้นแปลกๆ เก๋ๆเต็มไปหมด แม้กระทั้งม้านั่ง คุณก็สามารถถ่ายรูปได้ เป็นเมืองเล็กๆๆ ชิวๆ

IMG_9611

ถ้าใครชอบบรรยากาศยามค่ำคืนก็สามารถเอ็นจอยหรือมาปาร์ตี้ที่นี่ได้

 

ค่าใช้จ่ายคร่าวๆต่อวัน

หน่วยเงินที่ใช้: Euro

ค่าเดินทางในเมือง: 100 บาท
ค่าอาหารต่อ 3 มื้อ: 500-800บาท
ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ: 200-300 บาท
ค่าที่พักโฮสเทล(นอนรวม): ถูกสุดตกคืนละ 320บาท

= ต่อวัน 1120 บาท

 

 

 

6. Tallin, Estonia

IMG_9601

เมืองน่ารัก ขนมอร่อย ผสมผสานกับวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทำให้เมืองนี้ยิ่งน่าเที่ยวขึ้นไปใหญ่

IMG_9602

อีกทั้ง Tallin ยังเป็นเมืองท่าไปฟินแลนด์อีกด้วย

 

 

ค่าใช้จ่ายคร่าวๆต่อวัน

หน่วยเงินที่ใช้: ยูโร (EURO)

ค่าเดินทางในเมือง: 80-100 บาท
ค่าอาหารต่อ 3 มื้อ: 600 – 1000บาท
ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ: 300-400 บาท
ค่าที่พักโฮสเทล(นอนรวม): ถูกสุดตกคืนละ 440 บาท

= เฉลี่ย 1420 บาท

 

 

 

 

 

7. Prague, Czech Republic.

 

 

IMG_9600

เมืองจุดหมายปลายฝันของนักท่องเที่ยว เมืองสุดโรแมนติกของโลก ไม่ว่าจะเป็น ปราสาท อาคารบ้านเรือน รวมไปถึงสะพาน สวยงามสุดๆ อีกทั้งยัวมีแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติอีก บวกกับค่าครองชีพที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆในยุโรป จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนักท่องเที่ยวต่างมาเที่ยวที่นี่กันทั้งนั้น

 

 

IMG_9614

บรรยากาศในช่วง Christmas  ดีอ่ะ

 

IMG_9615

ถ่ายจากสะพาน แค่ตรงนี้ก็รู้สึกฟินแล้วแหละ

 

 

ค่าใช้จ่ายคร่าวๆต่อวัน

หน่วยเงินที่ใช้: โคลูนา เชค (CZK)

ค่าเดินทางในเมือง: 80-100 บาท
ค่าอาหารต่อ 3 มื้อ: 560 – 800บาท
ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ: 400-600 บาท
ค่าที่พักโฮสเทล(นอนรวม): ถูกสุดตกคืนละ 400 บาท

= เฉลี่ย 1500 บาท

 

 

Picture credit: google.com and my picture

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

Lisbon – เมืองอะไรมีแต่เนิน

Lisbon – เมืองอะไรมีแต่เนิน

 

ด้วยความที่ว่าเจอโปรตั๋วเครื่องบิน กัวลาลัมเปอร์ -ลิสบอน, มาดริด -กรุงเทพ เลยจัดไปซะหน่อย แถมได้แวะเที่ยวมาเลเซียอีก ซื้อตั๋วไปก่อนที่จะได้วางแผนเที่ยวซะอีก

ลิสบอนเป็นเมืองที่มีเนินขึ้น-ลงตลอดเวลา
ตอนแรกเจ้าหน้าที่ที่โฮสเทลบอกว่า เที่ยวเมืองนี้คุณจะเหมือนเดินขึ้นบันไดอยูตลอดเ
555+ ตอนแรกก็ไม่ได้เชื่อ พอเริ่มออกเดิน คือ มันจะเนินไปไหนว่ะ เมืองอะไรเนี่ยมีแต่เนิน 😉

ดีนะ ได้ออกกำลังกาย จบทริปนี้ อาหมวยท่องโลกน้ำหนักลดไปถึง 3 โลเลยทีเดียว

 

 

การยื่นวีซ่า

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://a-muaytravelblog.com/2017/08/14/ขั้นตอนการยื่นวีซ่าโปร/#more-1148

 

การเดินทางเที่ยวในเมือง

1. เดินสำรวจเมือง +นั่งรถราง, รถไฟฟ้าใต้ดิน เป็นวิธีที่ดีสุดสำหรับคนที่ชอบลุยๆ เหนื่อยหน่อย แต่ได้ใช้ชีวิตแบบคนที่โน่น ดูว่าเขาทำอะไร กินอะไร เดินทางอย่างไร

 

แนะนำให้ซื้อ

เพิ่มเติม: รถรางสาย 28 เป็นรถรางที่วิ่งผ่าแหล่งท่องเที่ยวในเซ็นเตอร์เกือบทั้งหมด เฉพาะฉะนั้นคนจะเยอะมาก และมิจฉาชีพก็เยอะตาม แนะนำให้นั่งรถเมย์ หรือรถรางสายอื่น เข้า google map ใส่สถานที่ที่จะไป จะขึ้นสายรถเมล์ให้คุณ อาหมวยท่องโลกใช้วิธีนี้ สะดวกมาก ไม่ต้องไปเบียดเสียดกับผู้คนและยื่นเมื่อยในรถราง สาย 28 แถมยังเลี่ยงมิจฉาชีพได้อีกด้วย

 

 

รถรางสาย 28 ไม่แปลกใจว่าทำไมคนที่โดนขโมยกัน ถ้าจะเบียดขนาดนี้

IMG_8967

 

 

คำเตือน: ที่ลิสบอน ทางเป็นเนินเขาขึ้นลงตลอดเวลา เดินกันเหนื่อยเลย

 

2. ขับรถ ก็สะดวกมากนะคะ ค่าเช่ารถไม่แพงเลย แต่ในเซ็นเตอร์หาที่จอดรถยาก

 

ช่วงที่ควรไป: ช่วงไหนก็ได้ที่ไม่ใช่หน้าร้อน (มิถุนายน-สิงหาคม) อากาศร้อนมากๆ. ร้อนเกินไปที่จะเที่ยว

การเดินทางจากสนามบินเข้าเมือง

1. รถแท็กซี่เข้าเมือง ราคาประมาณ (15-20ยูโร) เรียกรถจากจุดเรียกรถของสนามบินนะคะ
2. รถไฟฟ้าใต้ดิน ไปลงที่สถานี Saldalha station แล้วเปลื่ยนสายไปสถาที่ที่พัก ใช้เวลาจากสนามบินไปที่ Saldalha station ประมาณ 25 นาที
3. รถบัสแอร์พอร์ต มีให้รถบัสเลือกเยอะมาก

– Aerobus 1  วันจันทร์ -ศุกร์. 7.00 am -11.20 pm ออกเดินทางทุก 20 นาที, เสาร์-อาทิตย์ 7.00 am – 10.50 pm. ออกทุกๆ 25 นาที

– Aerobus 2   7.00 am- 2pm ออกทุกๆ 40 นาที หลังจากบ่ายโมง รถบัสจะออกทุกๆ 1 ชั่วโมง

– City bus มีหลายสาย เช่น705, 722, 744

– Night bus 208 รถขบวนสุดท้ายออกเวลา ตี 4.42

 

สถานที่ท่องเที่ยวที่ควรไป

เมืองนี้ควรให้เวลา 2 วันในการเที่ยว ความจริงสามารถเที่ยวภายในวันเดียวได้ แต่จะเป็นการอัดเกินไป.

 

ออกจากสนามบิน แวะซื้อซิมเน็ต Vodafone 10 ยูโร ที่สนามบิน หาไม่ยาก ชอบเน็ตยี่ห้อนี้ใช้ดี
พนักงานให้คำแนะนำโอเคเลยแต่ เราให้แบงค์ 50 ยูโรไป เขาทอนมา 10 ยูโร เขาเลยทวง ไม่รู้ว่าเขางง หรือ จงใจ 5555+ ยังไงก็ตรวจนับเงินทอนทุกครั้งไว้ดีกว่า

 

ออกจากสนามบิน ก็ไปรอที่ป้ายรอแท็กซี่ แต่ดูคิวสิ ถ้ายาวขนาดนี้

IMG_8969

ตรงนี้คือจุดเรียกรถของสนามบิน ปลอดภัย ไม่โดนโกง จากสนามบินเข้าไป center ราคาประมาณ 15-20 ยูโร ก่อนเรียกเราสอบถามราคาจากประชาสัมพันธ์ เขาก็บอกประมาณนี้

 

มาดูสถานที่ท่องเที่ยวกันดีกว่า

 

1.Restauradores Square

ชื่อโปรตุเกส: Placa dos Restauradores

 

IMG_8985

ย่านร้านอาหาร ร้านอาหารแถบนี้เยอะจนเลือกไม่ถูก อาหมวยท่องโลกแวะกินแถวนี้ในตอนเย็น อร่อยใช่ได้เลย

ย่านนี้เราคุ้ยเคยเป็นอย่างดี เพราะที่พักอยู่ตรงนี้นี่เอง

 

IMG_8975

อนุสาวรีย์ตรงกลางนี้สร้างขึ้นเพื่อฉลอง 60 ปี ที่เป็นอิสระจากเสปนเมื่อปี 1640  รูปปั้นทั้ง 2 เป็นตัวแทนของอิสระภาพและชัยชนะ

 

IMG_8985

ชอบกระเบื้องที่นี่

 

 

ฝั่งตรงข้ามจะเต็มไปด้วยตึกอาคาร, โรงแรม, โรงละคร ร้านอาหาร,  และแหล่งช้อปปิ้ง

IMG_9153.JPG

 

มาดูตอนกลางคืนบ้าง  ข้างๆอนุสาวรีย์ เมื่อก่อนเป็นโรงละคร deco Eden  ตอนนี้กลายเป็นโรงแรมไปแล้ว

IMG_9009

 

IMG_9011

 

 

เราลองมาเดินเล่นในย่านนี้ตอนกลางวันซะหน่อย

 

IMG_9032

 

แวะทานอาหารกันก่อน  มาแถวนี้ต้องจัด Seafood  ย่านนี้ดังมาก อยากกินข้าว และปลา เลยจัดมา 2 จาน มื้อนี้ประมาณ 35 ยูโร รสชาติอร่อยใช้ได้เลย

IMG_9023IMG_9025

ด้วยความที่ว่าติดอาหารไทย ชอบกินข้าว ไม่ค่อยชอบกินขนมปัง แต่ให้กินก็กินได้ พอได้กินข้าวในวันที่ใช้แรงมาทั้งวัน มีความสุขมาก ฟิน

สังเกตเห็นว่าจะมีโค้กอยู่ตลอด เพราะอากาศมันร้อนมาก วันหนึ่งกินน้ำไปเยอะมาก ทั้งโค้ก ทั้งน้ำเย็น ซึ่งปกติไม่ดื่มโค้ก แต่มาที่นี่ต้องดื่มจริงๆ

ใครจะเที่ยวโปรตุเกส ได้โปรดอย่ามาหน้าร้อน

 

ดูบรรยากาศร้านกัน

IMG_9024

บรรยากาศดี พนักงานบริการดี เอาใจใส่

พิกัด: Rua das Portas de Santo Antão 92  อยู่แถวๆ Coliseu dos Recreios (Concert hall). 

 

 

จาก Restauradores Square เดินมาเรื่อยจะเจอย่าน Rossio Square (ไม่ไกล เดินมาได้เลย)

 

2.  ย่าน Rossio (Rossio Square)


ชื่อโปรตุเกส: Praça Dom Pedro IV

ย่าน down town แหล่งนัดพบของที่นี่ ลานนัดพบแห่งนี้ถูกสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 เพื่อเป็นลานจัดทำกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น งานแสดง, สู้กระทิง รวมไปถึงเป็นที่ไว้สำหรับประกาศเรื่องต่างๆจากพระราชวัง

IMG_9042

คำว่า Rossio มีความหมายด้วย หมายถึง พื้นที่สาธารณะที่ผู้คนใช้รวมกัน

 

 

IMG_9043

ตรงกลางจะมีรูปปั้นของกษัตริย์ Pedro ที่ 4 หรือผู้ปกครองคนแรกของอาณาจักรบราซิล Pedro ที่ 4 ปกครองโปรตุเกสเป็นระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะหนีไปบราซิลตอนที่กองทัพฝรั่งเศลบุกรุกโปรตุเกสเมื่อปี 1807

 

Teatro Nacional D. Maria II

IMG_9044

 

 

กระเบื้องแถวนี้เหมือนกระเบื้องที่มาเก๋าเลย อาจจะเป็นเพราะโปรตุเกสเคยปกครองมาเก๋า ทำให้มันมีความคล้ายคลึงกัน

IMG_9042

 

เดินมาเรื่อยๆ จะมาผ่านร้านค้ามากมาย ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้ายขายของ เสื้อผ้า

IMG_9015

 

เดินออกจากตรอกจะเจอสถานีรถไฟ Rossio  เราสามารถขึ้นรถไฟจากที่นี่ไป เมือง Sintra ได้

 

 

IMG_9155

 

3. Santa Justa Lift/Elevador de Santa Justa

จาก Rossio Square เราสามารถเดินมาที่ลิฟต์ Santa Justa Lift จุดชมวิวที่สวยที่สุดอีกจุดหนึ่ง

 

ถ้าใครขี้เกียจเดิน สามารถนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินมาลงที่สถานี Baixa – Chiado‎ ได้

IMG_9082

 

Santa Justa Lift/Elevador de Santa Justa

IMG_9090

Credit: Travel in Lisbon.com (รูปที่เราถ่าย หาไม่เจอ เลยต้องไปเอารูปจากเนตมา)

ค่าลิฟต์: 5 ยูโร
ค่าเข้าจุดชมวิว 1.5 ยูโร

แต่ถ้ามีตั๋วรถไฟ+รถบัส 1 day สามารถขึ้นลิฟต์ฟรี

 

Santa Justa Lift ถูกออกแบบโดย Raul Mesnier de Ponsard, สถาปิกชาวฝรั่งเศสที่เกิดที่โปรตุเกส เขาเป็นนักเรียนของ Gustav Eiffel สปานิกผู้ออกแบบหอไอเฟลในฝรั่งเศสนั่นเอง

 

เมื่อขึ้นมาข้างบน เราสามารถถ่ายวิวเมืองย่าน Baixa ได้ทั้งหมด

 

Santa Justa Lift เชื่อมถนนด้านล่าง Baixa และถนนด้านบน Largo de Cormo

IMG_9159

มองมาอีกฝั่ง จะถ่ายเห็น  Rossio Square

 

 

IMG_9158

ย่าน Baixa

 

 

IMG_9174

ย่านช้อปปิ้ง กิน ดื่ม อีก แห่งของที่นี้ ร้านค้าส่วนใหญ่เป็น ร้านค้าขนาดเล็ก ขายของหลากหลาย ราคาค่อนข้างแพง 55+ ร้านอาหารที่นี่จะแพงกว่าย่าน Restauradores Square

ถ้าชอบเที่ยวกลางคืน ย่านนี้ก็เหมาะเหมือนกัน

 

เรามาแวะกินร้านนี้ที่ Baixa  ร้านอาหารBernard ร้านดัง ตั้งแต่ปี 1868

IMG_9084

 

 

อาหารรสชาติเฉยๆๆมาก 555+ เนื้อเสต็กจืดๆ เฟรนฟรายเหี่ยวไปนิด ผักขมก็พอเคี้ยวได้ รวมๆแล้ว ไม่ประทับใจ

IMG_9083

 

ร้านนี้ดังเรื่องขนมและกาแฟ แต่อาหมวยดันไปสั่งอาหาร 5555+ เลยเป็นอย่างที่เห็น

 

เดินถัดจากเขต Baixa มา ก็จะเจอ ย่าน Chiado

 

IMG_9175

เราจะมาชิมร้านขนมเจ้าเด็ดของย่านนี้ อร่อยมาก คอนเฟริม์ คนเยอะตลอดเวลา

IMG_9088IMG_9085

Pastelaria Alcoa

เวลาทำการ 9.00-21.00

พิกัด: Rua Garrett, 37-39 Chiado, Lisbon, Portugal

 

 

4.  Praça do Comércio/Commerce Square

จาก ย่าน Baixa เดินตรงมาเรื่อยๆ ไกลพอควร หรือจะนั่งรถเมล์มาลงที่  Commerce Square

 

 

IMG_9163

เราสามารถขึ้นรถรางสาย 15 จากตรงนี้ไป Belem ได้ เดินถัดไปหน่อยจะเป็นท่าเรือข้ามแม่น้ำ Tagus

 

 

IMG_9124

รูปปั้นของ King Jose I อยู่ตรงกลางจตุรัส

 

 

IMG_9166

Praça do Comércio ถูกสร้างขึ้นในปี 1775 หลังจากที่แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ แผ่นดินไหวครั้งนั้นก่อให้เกิดคลื่นสึนามิทำลายเขต Baixa ทั้งหมด รวมไปถึงพระราชวัง Ribeira ที่เคยตั้งอยู่ที่ Praça do Comércio.

 

 

เดินไปทางท่าเรือบ้าง

ไม่รู้คิดได้ไง มาตั้งหุ่นจระเข้ตรงนี้ เดินไม่ดู ตกใจได้เลย

IMG_9123

 

IMG_9152

แม่น้ำ Tagus

 

ข้างหลัง Praça do Comércio เป็นป้ายรถเมล์สายต่างๆ

IMG_9119

 

 

เราจะเดินเข้ามาสำรวจข้างหลังประตูกัน

 

IMG_9169

 

Watermarked(2017-08-15-1452)

 

 

ข้างในจะเป็นร้านค้าต่างๆ  น่าเดินอีกแล้ว แต่วันนี้จะขอลา ร้อนมากๆๆๆๆๆ ขอไปกลับเข้าที่พักเพื่ออาบน้ำแล้ว ออกเที่ยวต่อ ข้อดีของการมาเที่ยวหน้าร้อนคือ เที่ยวได้คุ้มสุดๆ กว่าฟ้าจะมืดก็  4 ทุ่ม

IMG_8882

 

Continue to part 2

 

ขั้นตอนการยื่นวีซ่าโปรตุเกส

การยื่นวีซ่า

ยื่นเรื่องทำวีซ่าที่สถานทูตโปรตุเกส ซึ่งหลายคนบอกว่ายากและนาน เพราะเขาตรวจเอกสารละเอียด กว่าจะได้อย่างต่ำก็ 2 อาทิตย์ ตอนทำก็แอบเป็นกังวล แต่ก็เตรียมเอกสารไปให้พร้อมที่สุด รอวีซ่าจากสถานทูตนานๆนิด ประมาณ 2 อาทิตย์ แต่เขาให้วีซ่ามาเลย 6 เดือน แบบ multiple

 

เอกสารยื่นทำวีซ่า

1. ใบจองตั๋ว (จ่ายเงินไปเรียบร้อย) ความจริงทางสถานทูตไม่แนะนำให้จองไปก่อน แต่ด้วยความที่เรามั่นใจว่า จะไปจริงๆ เลยจองไปก่อนเลย

– ใบจองตั๋วเรา มี 2 booking. เที่ยวแรก จองจากไทย ไปมาเลเซีย เพราะแวะเที่ยวมาเลเซียก่อน เที่ยวที่ 2 ใบจองจากมาเลเซีย-ลิสบอน และ มาดริด -กรุงเทพ

2. เอกสารการทำงาน
3. ใบจองโรงแรมและแพลนการเดินทาง
4. สำเนาหน้าพาสปอรต์ เราถ่ายสำเนาพาสปอรต์ทุกหน้าที่มีการแสตมป์การเดินทางเข้าออก ทั้งเล่มเก่าและใหม่. (เจ้าหน้าที่บอกเพิ่มเติม ถ่ายแต่หน้าที่มีวีซ่าเช้งเก้นก็ได้)
5. รูปถ่ายสี 3.5 x4.5 พื้นหลังขาว
6. Bank guarantee
7. นำสมุดแบงค์ตัวจริงไปด้วย อย่าลืมถ่ายสำเนาหน้าแรกของสมุดบัญชี
8. ประกันการเดินทาง วงเงิน 1.5 ล้าน หรือ 30000 ยูโร
9. พาสปอรต์ตัวจริง อายุการใช้งานเกิน 3 เดือน
10. กรอกแบบฟอร์มให้เรียบร้อย โดยขอแบบฟอรม์ได้ที่ อีเมลสถานทูต >>>>  ambassador@embassyofportugal.or.th

 

 

ขั้นตอนการทำวีซ่า

1. ส่งอีเมลไปแจ้งขอทำวีซ่าที่  ambassador@embassyofportugal.or.th ทางสถานทูตจะนัดวันมาทำวีซ่า และแนบแบบฟอร์มมาให้เรากรอกข้อมูล
2. ไปยื่นเอกสาร พิมพ์ลายนิ้วมือ และจ่ายเงินค่าทำวีซ่า จ่ายเงินประมาณ เกือบ 3,000 บาท

3. รอรับวีซ่า ประมาณ 2 อาทิตย์ -3 อาทิตย์ บางคนได้เร็วกว่านั้น ขึ้นอยู่กับว่ามีคนมาทำเยอะแค่ไหน. ระหว่างรอสามารถโทรไปสอบถามได้ที่เบอร์สถานทูต

 

ที่อยู่และเบอร์โทรศัทพ์สถานทูต

ที่อยู่ : 26 ถนนเจริญกรุง 30 ซอยกัปตันบุช กรุงเทพฯ 10500

โทรศัพท์ : 0-2234-7435-6, 0-2234-2123

โทรสาร : 0-2639-6113

15 ข้อคิด ที่ฉันได้จากการเดินทางเอง 50 กว่าประเทศรอบโลก

 

15 ข้อคิด ที่ฉันได้จากการเดินทางเองกว่า 50 กว่าประเทศรอบโลก

เที่ยวมาเยอะพอสมควร อาหมวยท่องโลกเลยอยากมาแชร์ว่าการท่องเที่ยวได้ให้อะไรกับเรา และอยากแบ่งปันเรื่องราวประสบการณ์ที่พบเจอ ว่าการเดินทางมันเปลื่ยนเราได้อย่างไร

ทำไมถึงเริ่มออกเที่ยวเอง

จุดเปลื่ยนที่ทำให้เริ่มออกเที่ยวเองคนเดียว มันเริ่มมาจากความกลัว ความเบื่อที่จะรอ และความผิดหวัง. เมื่อก่อนกลัวที่จะต้องไปคนเดียว ขอมีเพื่อนหรือใครสักคนไปด้วยกัน รู้สึกอุ่นใจ ในระหว่างที่รอ มันเต็มไปด้วยความหวัง ความดีใจ ความตื่นเต้น อยากให้ถึงวันนั้นเร็วๆจัง แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เรารอ แล้วต้องล้มเลิก เพียงเพราะ พวกเขาไม่ไป คงเข้าใจกันดีว่า ความรู้สึกมันเป็นเช่นไร เคยรอทริปไปปรากกับเพื่อนเกาหลี เริ่มวางแผน เริ่มหาข้อมูล เริ่มหาตั๋ว รอจองพร้อมกับเพื่อน แต่เพื่อนเกาหลีคนนี้ดันบอกว่า ไปไม่ได้แล้ว ต้องบินกลับเกาหลี อยู่รัสเซียต่อไม่ได้ ตอนนั้นไม่มีคำพูดอะไรที่ออกมาเลย รู้แต่ว่ากลับหอพักมาน้ำตาไหล ทำไมตอนนั้นถึงเซ็นซิทีฟอย่างนั้นก็ไม่รู้ อาจเป็นเพราะว่าเราหวังไว้มาก อยากออกเที่ยวมาก ท้ายที่สุด แพลนไปปรากได้ล้มเลิกไป ตอนนั้นเลยคือ จุดเปลื่ยน บอกตัวเองว่า ต้องไปคนเดียวให้ได้ จะเลิกกลัวให้ได้

แล้วฉันได้อะไรจากการเดินทาง

1. ความกล้าเท่านั้นที่ทำให้ค้นพบทุกสิ่ง

จากที่เคยกลัว ไม่มีความมั่นใจ ขี้กังวล จนล้มเลิกทริปไปหลายครั้ง พอได้ลองเที่ยวคนเดียว ในทุกๆทริป เรามีความกล้ามากขึ้น กล้าหลงทาง หลงก็หลงสิ ถามทางเขาไปทั่ว กล้าลุยไปตามสถานที่ต่างๆ ออกไปเผชิญโลกกว้าง กล้าลองทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะทำ

ตุรกี – Paragliding with handsome guide 🙂

IMG_1085IMG_1087

Processed with VSCO with s3 preset

ตอนไปตุรกี. เราไปลองเล่น Paragliding ตอนก่อนจะไป ถามย้ำกับเจ้าของบ ฉันจะเป็นไรไหม อันตรายหรือเปล่า กลัวๆๆๆ เจ้าของคงเหนื่อยใจกับนังหมวยนี่พอสมควร นาทีที่จะวิ่งออกจากหน้าผา ความรู้สึกเหมือนจะโดดลงไปตาย แต่พอนาทีที่ได้ลอยอยู่เหนือขึ้นฟ้า สวรรค์เลยแหละ อยากบอกคนบังคับว่า อยู่ต่อได้ไหม.

จริงๆแล้วมันไม่ได้น่ากลัวเลย

ความกล้าทำให้เราค้นพบว่า ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่าความอ่อนแอในใจของตัวเอง

สวีเดน-ช่วยเปิดไฟให้ฉันหน่อย มืดเหลือเกิน

IMG_1088IMG_1089

บินไปถึง 4 ทุ่มกว่า กว่าจะหาทางไปโฮสเทลเจอ ก็ประมาณเที่ยงคืนนิดๆ อยู่ตัวคนเดียว ท่ามกลางถนนมืดๆ ไฟก็ไม่มี ในใจตอนนั้น กรูจะเจอโจรไหมว้า. จะมีหมาวิ่งมากัดกรูป่าวว่ะ พยายามบอกตัวเองว่า อย่ากลัว เดินหาทางตามแผนที่ต่อไป จนเจอ นาทีที่เจอโฮสเทล แทบจะกระโดดลอยฟ้า แต่ติดที่นำ้หนักเลยลอยไม่ได้

ใช้ความกล้าสู้กับความกลัวให้มันรู้แล้วรู้รอดไป ถ้าเราไม่ลอง เราก็ไม่มีทางรู้เลยว่าเราจะชนะมันหรือเปล่า

 

 

 

2. ความกลัวอาจทำให้เราเสียโอกาสไป

ทะเลไบคาล/รัสเซีย – ดำหมาเพื่อนรัก

IMG_1093IMG_1094

ตอนนั้นออกทริปเดินทางเกือบ 8 เดือน อากาศติดลบ 28 องศา อาหมวยท่องโลกอยากออกไปเดินเล่นที่ทะเลสาบ อากาศอ่ะ สู้ไหว แต่พอเห็นสุนัขอยู่หน้าประตูโรงแรม ถอยกลับ ไม่ออกไป เจ้าของถามว่า ทำไมไม่ออกไปเที่ยว. ตอบไปว่า ก็ฉันกลัวหมา. เขาหัวเราะบอกว่า ไม่ต้องกลัว มันไม่กัด. เราก็ไปยืนด้อมๆมองๆๆ มันยังอยู่แถมมองมา เฮ้อ ในใจ. เมิงจะมามาทำไมตอนนี้!!!!! สุดท้ายด้วยความที่อยากถ่ายรูปทะเลสาบ เดินออกไป มันเดินตาม น้ำตาแทบไหล. เดินกลับมา หยิบไส้กรอก เดินออกมา โยนให้มันกิน. ด้วยความหวังว่ามันจะมัวแต่กินไส้กรอก คงไม่เดินตามมา เดินต่อไปด้วยความโล่งใจ แต่มันยังตามมาที่ทะเลสาบ โอ้ย หนีไม่พ้นจริงๆ
สุดท้าย ไอ้หมาตัวนี้แหละ กลายเป็นเพื่อนเราไปเที่ยวทะเลสาบตลอดทั้ง 3 วันเลย

เชื่อเลยว่า ถ้าตอนนั้นเราเอาแต่กลัว เราคงไม่ได้ออกไปถ่ายรูปทะเลสาบที่สวยงามอย่างนี้

และเพราะการเที่ยวทำให้เราเลิกกลัวหมา ตอนนี้สามารถเดินผ่านได้สบาย เมื่อก่อนแค่พุดเดิ้ล เรายังหลบเลย

บราซิล-เราเกือบไม่ได้เจอกัน

IMG_1095

ประเทศนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอาชญากรรมเยอะที่สุด อ่านรีวิวของฝรั่ง เจอปล้นบ้าง เจอทำร้ายร่างกาย ฆ่าก็มี. เกือบจะทิ้งตั๋ว เพราะความกลัว แต่ก็ตัดสินใจเดินทางไป. ถ้าทิ้ง เราก็คงพลาดโอกาสที่จะเห็นโลกใบนี้ไป

3. ไม่มีการเดินทางครั้งไหน ที่ไม่ต้องใช้ความอดทน

ในแต่ละทริปเจอความยากง่ายไม่เหมือนกัน. อุปสรรคแต่ละครั้งหนักเบาต่างกันออกไป แต่ความอดทนทำให้ทริปมันออกมาสวยงามเกือบทุกครั้งเสมอ

นอร์เวย์- แสงเหนือครั้งแรกในชีวิต

IMG_1102IMG_1103

ไปชมแสงเหนือที่นอร์เวย์ ไปคนเดียวอีกแล้ว แต่ไปจอยกลุ่มล่าแสงเหนือ ตอนออกล่าแสงเหนือ มือแทบจะขาด หนาวจับใจ กว่าจะตามหาแสงเหนือกันเจอ. ปาไปตี 2 นิดๆ กลับโรงแรมมา ตี 4
ระหว่างรอ ในใจพูดแต่คำเดียวว่า อดทน อดทน อดทน และความอดทนนี้แหละทำให้เราได้เห็นแสงเหนือ  คุ้มจริงๆที่อดทนรอ
นามิเบีย – Deadvlei หนึ่งเดียวในโลก

IMG_1104IMG_1105

เดินท่ามกลางทะเลทรายที่พร้อมจะแผดเผาเรา 20กิโลกว่า ยิ่งเดินเหมือนยิ่งไกลออกไป แต่เราผ่านมันมาได้เพราะความอดทน สุดท้ายได้มาเหยียบ Deadvlei – พี้นดินกระทะสีขาวที่แห้งแล้วที่สุดในโลก ต้นไม้ที่คุณเห็นมีอายุมากกว่า 900 ปี  ไกด์บอกว่าที่แห่งนี้มีที่เดียวในโลก

4. มิตรภาพจากคนแปลกหน้า ไม่ยากเลยที่จะเจอในต่างถิ่น

รัสเซีย – ยิ่งรู้จักยิ่งหลงรัก

IMG_1117IMG_1118 IMG_1122

คนรัสเซียเป็นคนยิ้มยาก หน้าบึ้ง ไม่ค่อยยิ้มแย้ม ตอนแรกก็เข้าใจว่า เขาคงจะไม่ชอบคุยกับคนเอเชียแบบเราซะเท่าไหร่ ไปซื้อของ ก็โดนแม่ค้าตะโกนใส่ 555+ ตอนนั้นโครตเกลียดคนประเทศนี้  แต่พอได้เริ่มเที่ยวจริงจัง คนรัสเซียน่ารักมาก ช่วยเหลือเรา ทั้งอาสาพาเที่ยวทั้งวัน  แบ่งขนม เข้ามาเตือนว่าเชือกรองเท้าหลุด ให้ผูกด้วย เดี๋ยวเธอจะเดินสะดุด ตอนไปไซบีเรียก็เช่นกัน มีคนรัสเซียมาชวนคุย บอกว่าอยากรู้จัก และอยากรู้ว่าเธอไม่กลัวหรอ มาเที่ยวคนเดียว จริงแล้วพวกเขาน่ารักมากเลยนะ ระหว่างตระเวนเที่ยวในเมืองมอสโคว์ ตอนนั้นเรานั่งเล่นในสวนสาธารณาอยู่ มีคุณป้ามาชวนคุย คุยไปคุยมา คุณป้าเขาเลยปรึกษาปัญหาชีวิต เรื่องแม่ผัว ลูกชายและลูกสะใภ้กับเรา นึกถึงที่ไร ตลกตัวเองเหมือนกัน  ประเทศนี้ยิ่งรู้จักยิ่งหลงรัก จริงๆแล้วก็ทำให้ได้คิดว่า

 
อาร์เจนติน่า – ไปคนเดียวไม่เคยเหงา

IMG_1123

IMG_1124IMG_1125
ไปคนเดียว แต่ได้เพื่อนไปเดินเทรคกิ้งด้วยกัน. สนุกมาก มีน้ำใจจากคนอื่นอีกเยอะที่ฉันได้รับ

 

จอร์เจีย – ดาราสาวจอร์เจียพาเที่ยว

IMG_1126IMG_1132

ไปคนเดียวอีกเช่นเคย แต่โชคชะตาดันพาไปรู้จักกับดาราสาวจอร์เจียโดยบังเอิญ เขาดังมากที่นั่น เขากับเพื่อนอาสาพาเราเที่ยวเมือง Tatev  ขอยกตัวอย่างบทสนทนาที่เราคุยกัน

ดาราสาว: ทำไมเธอถึงมาที่อาร์เมเนีย อาร์เมเนียเป็นประเทศเล็กๆ คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักที่นี่ด้วยซ้ำ อาร์เมเนียอยู่ส่วนไหนของโลกก็ยังไม่รู้เลย

อาหมวยท่องโลก:  ฉันหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต ข้อมูลน้อยมาก แต่มีหลายคนเขียนว่าประเทศนี้น่าสนใจ ฉันเลยเดินทางมาสัมผัสด้วยตัวเอง

ดาราสาว: แล้วเธอชอบที่นี่ไหม

อาหมวยท่องโลก:  ชอบสิ ฉันตั้งใจไว้ว่าฉันจะเขียนรีวิวเกี่ยวกับประเทศของเธอ คนไทยจะได้รู้จักอาร์เมเนียมากขึ้น

ดาราสาว:  ขอบคุณมากนะ ขอบคุณจริงๆ

สามารถพูดได้ว่าเราได้รับน้ำใจจากผู้คนท้องถิ่นและคนต่างชาติตลอดทุกประเทศเลย

5.  ในความโชคร้าย มันมีความโชคดีเล็กๆ ตามด้วยเสมอ

ไครเมีย (ประเทศยูเครน)  (แต่ตอนนี้เป็นของรัสเซีย) -ซวยกว่านี้มีอีกไหม

IMG_1138IMG_1137

อะไรมันจะซวยขนาดนั้น บินไปถึง ไฟดับทั้งเมือง สัญญาณโทรศัพท์และเนตเล่นไม่ได้ ติดต่อใครไม่ได้เลยอยู่หลายวัน เงินเหลืออยู่ 50 บาท เอทีเอ็มกดไม่ได้ เพราะอเมริกาแบนระบบบัตรเครดิตในไครเมีย ไม่มีเงินกินข้าว. ซวยยิ่งกว่าซวย แต่ในความโชคร้ายนั้นเรายังเจอความโชคดี เจ้าของโฮสเทลทำซุปกับขนมปังให้เรากิน และยังออกเงินค่ารถให้เรานั่งกลับไปชายแดนรัสเซียเพื่อกดเงิน
และแถมขากลับ เราโดนย้ายที่นั่งบนเครื่องบินจากที่นั่งEconomy ไป business (โชคดีเด้งที่ 2)

ชีวิตมันไม่ได้มีแต่ความโชคร้าย ความหวังคือสิ่งที่ทำให้เราอดทนรอได้ความโชคดีนั้นได้

6.  สติคือสิ่งที่สำคัญที่สุด

อาร์เมเนีย – โบกรถเที่ยวครั้งแรก

IMG_1128

IMG_1140

ตอนนั้นอยากลอง Hitchhiking (การโบกรถเที่ยว) ถามคนในโฮสเทล ผู้ชายสเปนกับจีน บอกว่า ลองเลย ปลอดภัย เขาทำกันทั้งนั้น แล้วพอดีว่าไปเที่ยวทะเลสาบ Sevan แล้วอยากไป Dilijan ไม่มีรถไปรอบเช้า มีแต่รอบ 1 ทุ่ม. เราเลยลองโบกรถ นาทีที่โบกรถ โอ้ย ตื่นเต้นมาก โบกคันแรก เขาไปไม่ถึง เลยโบกคันที่ 2 ฝนตก เลยรีบขึ้นไป คนขับมันให้เรานั่งข้างมัน ลืมเอะใจ เข้าไปปั๊ป สัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล มันถามเราเป็นภาษาอาร์เมเนีย. เราตอบเป็นรัสเซีย ว่าไม่รู้เรื่อง มันทำท่ากระทุ้งเข้าไปที่อวัยวะให้ดู สื่อประมาณว่า อยากมีเซ็กกับมันไหม ไอ้เราแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ ถามไปว่าอะไรนะ. อะไรนะ ตอนนั้นเริ่มสังเกตได้ว่ามันไม่ล้อครถ มือด้านซ้ายหยิบสเปย์พริกไทยที่พกมา คราวนี้มันยื่นมือข้างหนึ่งมาจับขาเรา เราเบี่ยง คราวนี้มันจะจับบ่าเรา เราเปิดประตูแล้ววิ่งลงไปเลย เรามายืนข้างถนน หลังรถมัน เตรียมตั้งท่าสู้ ในมือเตรียมสเปรย์พริกไทยไว้แล้ว แต่สุดท้ายมันขับต่อไป โชคดีที่ยังมีสติในการเอาตัวรอด และพระยังคุ้มครองอาหมวยท่องโลกคนนี้อยู่

แล้วเราก็โบกรถคันที่ 3 ต่อ แต่เลือกคันที่เป็นครอบครัว. ส่งถึงที่ แถมลูกชายเขายังอาสาอยู่รอรับไปส่งที่ Yerevan แต่เราปฎิเสธด้วยความเกรงใจ ระหว่างเดินทางอยู่ในเมือง ถามทางเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง (อายุ 18 ปี) เขาอาสาพาเราเที่ยว แต่ขอให้เราพูดภาษาอังกฤษกับเขา เพราะเขาอยากฝึกพูดภาษาอังกฤษ

จากเหตุการณ์ตรงนี้ทำให้เรามีสติและรอบคอบมากกว่าเดิม

ปล. แม่ยังไม่รู้เรื่องนี้ แต่หลังจากกระทู้นี้ออกไป อาจจะโดนด่าได้

 

อิตาลีและนครรัฐวาติกัน

IMG_1141IMG_1142

โจรเยอะ เจอยิปซีด้วย แต่รอดมาได้ด้วยสติ และสติ

7. ชีวิตเรียบง่ายมากขึ้นเมื่อฉันได้ออกเดินทาง

นี่คือเรื่องจริง ยิ่งฉันเที่ยว ก็ยิ่งติดดิน อะไรก็ได้ ไม่ต้องมากเรื่อง ชีวิตเรียบง่ายมากขึ้นเมื่อเราเริ่มออกเดินทาง
มองโกเลีย – ชีวิต Nomad เรียบง่ายแต่สุขใจ

IMG_1144IMG_1143

ขี้กลางดิน กินกลางทราย. ชีวิตเรียบง่ายแบบ Nomad น้ำไม่ได้อาบ ผมไม่ได้สระ หาที่ขับถ่ายตามภูเขา ตามพื้นดิน ไปอยู่กับชนเผ่า Nomad. เกือบ 10 วัน ชอบมาก ชีวิตที่เรียบง่าย ไม่มีความสบายเลย แต่ทำไมมีความสุขก็ไม่รู้

ถ้าเป็นเมื่อก่อน พูดเลยว่า อยู่ไม่ได้ 555+

พอย้อนมองดูตัวเรา รู้สึกหลงรักในวิถีชีวิตของเราที่เรียบง่ายแบบนี้

8. อย่าผลักความฝันไปสู่ทางที่สิ้นหวัง
โบลิเวีย – อย่าผลักไสความฝันของเราออกไป

IMG_1170IMG_1172

ตอนแรกที่เห็นภาพทะเลสาบเกลือ เราคิดว่า เราคงไม่ได้ไป มันดูห่างไกล ดูยุ่งยาก ดูน่ากลัว ในใจเหมือนมี 2 เสียง

เสียงหนึ่งบอกว่า แกจะไปทำไม แพงก็แพง อันตราย เพื่อนก็ไม่มี ตอนหลังแกไปพร้อมกับคนอื่นก็ได้
อีกเสียงบอกว่า รอคนอื่น ชาตินี้แกจะได้ไปไหม มันคือความฝันแกไม่ใช่หรอที่จะไปเหยียบที่แห่งนี้

แน่นอนว่า เราเชื่อเสียงที่ 2 จึงได้เริ่มเก็บเงินจากการทำงานพิเศษ ตัดสินใจซื้อตั๋วไปโดยที่ยังไม่ได้วางแพลนการเดินทาง ตอนนั้นเราได้เรียนรู้ว่า อย่าผลักความฝันของเราออกไป เพราะไม่แน่ว่าคุณอาจไม่ได้ทำตามที่คุณฝัน มีโอกาส มีเวลา ต้องลุย อย่าลังเล

เชค – ความฝันที่ค้างคา

IMG_1173

อกหักจากเพื่อนเกาหลีที่วางแพลนจะไปด้วยกัน  ถึงเราไม่ได้ไปด้วยกัน แต่ฉันก็สานความฝันของฉันต่อนะ  ความฝันที่ค้างคาถูกสานต่อได้ในที่สุด

9. ปัญหาและอุปสรรคคือสิ่งที่เราพบเจอได้ตลอด เพราะฉะนั้นอย่ากลัวที่จะเจอมัน

ตลอดเกือบทุกทริป มีปัญหาเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง อุปสรรคเล็กๆน้อยมีมาตลอด ไม่ว่าจะเป็น เราไม่รู้ภาษาบ้าง เจอคนไม่ดี สถานที่เที่ยวปิดเพราะตรงวันหยุด ตกรถ ตกเครื่องบิน ภูเขาไฟระเบิด รถบัสเลยไม่วิ่ง (สารพัดปัญหาเลยก็ว่าได้) แต่รู้ไหมคะว่า เพราะว่าเราเจอปัญหาสารพัดนี่แหละ มันทำให้เราเรียนรู้ที่จะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี แถมยังมีภูมิต้านทานต่อปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นมาแบบไม่ทันตั้งตัว

ตอนแรกอาหมวยท่องโลกมีแต่คำบ่น ทำไมว่ะ ทำไมต้องแบบนี้ แต่เมื่อเราเจอปัญหาเล็กๆน้อยในระหว่างทริปไปเรื่อยๆ เราเริ่มเรียนรู้ที่จะยอมรับมัน เลิกบ่น และหาทางแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้ดีที่สุด ปัญหาไหนมันแก้ไม่ได้ เราเลือกที่จะปล่อยวาง

สวิสเซอร์แลนด์ – ในวันที่เสียตั๋วแพงมากขึ้นภูเขาไป แต่ไม่เห็นอะไรเลย 

แหม อุตสาห์หอบสังขารขึ้นไปบน Jungfraujoch จุดสูงสุงของยุโรป หวังจะได้ภาพฟ้าใส พระอาทิตย์ส่องแสงเป็นประกาย เหมือนในเอ็มวีเพลงต่างๆ

ไม่จ้ะ ดูภาพที่ได้

IMG_1156
อึมครึมกว่านี้มีอีกไหม เสียดายนะ แต่ไม่เสียใจ เพราะเราคิดว่าตราบไหนที่ไฟในการเดินทางเรายังไม่มอดไหม้ไป เราก็มีโอกาสที่จะได้กลับมาที่นี่อีก

IMG_1155IMG_1157

นอกจากนี้เรายังเคยตกเครื่องบินจากฟิลิปปินส์มาไทยด้วยค่ะ วันนั้นไปชมภูเขาไฟ ขากลับมาสนามบิน รถติดมากถึงมากที่สุด ติดแบบไม่ได้พุดไม่ได้เกิด  มาถึงสนามบิน ที่เชคอินเขาไม่ให้เชคอินแล้ว ทำใจร่มๆ  แล้วไปซื้อตั๋วใหม่ค่ะ นอนรอที่สนามบินไปคืนหนึ่ง  จากนั้นไม่เคยตกอีกเลย เพราะวันที่จะบินกลับ เราจะเที่ยวแต่ในเมือง หรือจะให้ปล่อยให้เป็นวันชิวๆ  ไม่ออกไปนอกเมือง  เพื่อเวลาที่สนามบินเสมอ กันการตกเครื่อง คิดในแง่ดี ประสบการณ์การตกเครื่อง นักเดินทางต้องมีบ้างแหละ

10. เที่ยวได้ เพลินได้ แต่เราต้องระมัดระวังตัวอยู่เสมอ

อันนี้ขาดไม่ได้เลย สำหรับการเที่ยวคนเดียว. ไม่ว่าคุณจะดื่มด่ำกับความสวยงามของประเทศนั้นๆขนาดไหน คุณต้องระมัดระวังตัวไว้เสมอ ในช่วงวินาทีเดียว เหตุการณ์ไม่คาดฝันอาจเกิดขึ้นได้ พูดได้เลยว่าไม่มีที่ไหนปลอดภัยหรืออันตรายร้อยเปอร์เซ็นต์ ระมัดระวังตัวไว้ดีที่สุด แต่ก็อย่าระแวงเกินไป

ฮังการี – นาฬิกาหายหรอจ้ะ?

IMG_1158IMG_1159

ตอนเดินเที่ยวอยู่ในเมือง 2 ข้างทางสวยมาก เพลินสิ แต่เราก็คอยมองผู้คนรอบๆเป็นระยะ. พอเราเลี้ยวเข้าหัวมุมจะไปโรงแรม มีผู้ชายคนหนึ่งโผ่ลมา จับแขนเรา ด้วยความตกใจ เราร้องกรี้ดเสียงดังมาก เขาหยุดกึก แล้วถามเราว่า ตอนนี้กี่โมง เราตอบไม่รู้ แล้ววิ่งไป เราว่าเขาคือมิจฉาชีพ แต่อาจจะด้วยเสียงกรี้ดเรา เขาตกใจ เขาเลยแกล้งถามเวลา
ชวร์ยิ่งกว่าชวร์ เพราะที่ข้อมือเขาก็มีนาฬิกา และจะถามเวลาทำไมฟะ

11.  ประสบการณ์ไม่ดี เป็นแนวทางให้เราได้
ลาว -10 บาทก็ยังจะโกงกัน

IMG_1168

โดนโกงค่ะ แค่ 10 บาทก็ยังจะโกงกัน. แต่การโกงของที่นี่ทำให้เราไม่ถูกโกงอีกเลย. ก็ฉันรู้ทริคการโกงของพวกแกแล้วไง

เยอรมัน – ทำไมทอนเงินหนูไม่ครบ

IMG_1164IMG_1167

โดนโกงค่าตั๋ว นับแล้วบอกเจ้าหน้าที่เลยว่าไม่ครบ เจ้าหน้าที่ทำมึน ไม่คืน  หรือ เจ้าหน้าที่อาจจะไม่ได้โกงก็ได้อาจเป็นความผิดพลาด  เลยคิดว่า บางอย่างเราก็ต้องต้องปล่อยวาง ถือไว้มันก็หนัก

12. ยิ่งหลง ยิ่งแม่น ยิ่งสังเกต

ถ้าคุณเดินทาง คุณจะรู้ว่าการหลงทางเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประจำ ยิ่งเราหลง เรายิ่งจำทางแม่น อันนี้ใช้ได้กับตัวเราเอง ทริปแรกๆ เราหลงกระจุยกระจาย ตอนหลังคล่องมากค่ะ เพราะในทริปแรกที่เราหลงบ่อยๆ ทำให้เรารู้จักสังเกต จดจำรายละเอียดรอบตัวมากขึ้น

อังกฤษ -หลงมันไปสิในเมือง

IMG_1174

แอบหลงทางในเมืองหลวง แต่วันต่อๆมา ก็คล่องพอตัวเลยค่ะ เพราะเมื่อเราหลง ครั้งๆต่อๆไป เราจะสังเกตจำจำรายละเอียดมากขึ้นในทุกครั้ง

13.  เพราะการที่เราวางแพลนเที่ยวเอง ทำให้เรารู้อะไรมากขึ้น และสามารถแนะนำคนอื่นได้ด้วย แม้กระทั่งแนะนำคนท้องถิ่น
สโลวาเนีย – บอกทางคนท้องถิ่น

IMG_1181

ระหว่างนั่งรถไฟจาก Bled เข้ามาเมืองหลวง มีโอกาสได้รู้จักกับป้าชาวโรมาเนียคนหนึ่ง นั่งพูดคุยกันมาตลอดทาง คุณป้าแบ่งขนมให้เรากินด้วย เมื่อมาถึงเมืองหลวง เขาสอบถามวิธีการเดินทางไปใจกลางเมือง เพราะเขานานๆที เดินทางเข้าเมือง เราทั้งแนะนำและพาไป เป็นความภูมิใจเล็กๆ”ถ้าไม่วางแพลนเดินทางเอง เราเอาแต่ไปกับทัวร์ เราคงช่วยป้าคนนี้ไม่ได้”

14. เมื่อเราเที่ยวกับคนอื่น เราต้องรู้จักละตัวตนของเราทิ้ง

เพราะการเที่ยวคนเดียว มันทำให้เราตามใจตัวเราได้เต็มที่ ไม่ต้องคอยถามความคิดเห็น คอยตามใคร แต่พอเราเจอเพื่อนใหม่ตามประเทศต่างๆ เราเริ่มไปเที่ยวด้วยกันกับเพื่อนใหม่ที่พึ่งเจอ มันเลยทำให้เรารู้ว่า เราต้องละตัวตนของเราทิ้งบ้าง ต้องตกลงซึ่งกันและกัน คนละครึ่งทาง
ถึงแม้ว่าต่างคนต่างที่มา ต่างคนต่างรสนิยม แต่จะมีเส้นตรงกลางผูกเราและเพื่อนให้ไปด้วยกันได้อย่างมีความสุข เส้นนั้นคือ การละตัวตนของตัวเองทิ้งบ้าง เพื่อเปิดรับตัวตนของคนที่ร่วมทริปกับคุณ
แอฟริกาใต้ – ทริปนี้ไม่เหงาเพราะมีเรา

IMG_1177

ทริปนี้ไปกับเพื่อน. สนุกมาก เพราะตัวเราและเพื่อนเองที่เรียนรู้ที่จะรอ ถามความคิดเห็นของกันและกัน เอาใจเขามาใส่ใจเรา

ไต้หวัน – ทำไมถึงพึ่งรู้จักกัน

IMG_1178

ไปกับเพื่อนค่ะ มีบ้างที่ไม่พอใจซึ่งกันและกัน
แต่เราทั้งคู่รู้จักที่จะเปิดใจ คุยกัน สุดท้ายทริปมันก็แฮปปี้สวยงามในแบบที่มันควรจะเป็น

สำหรับคนที่เที่ยวเองเป็นประจำ ชอบทำตามใจตัวเอง ไม่ชอบการกฎเกณฑ์อะไรทั้งสิ้น มันไม่ง่ายเลยที่จะทำตามใจคนอื่นในบ้างครั้ง มันไม่ง่ายที่จะต้องรอ หรือถามความคิดเห็นของอีกฝ่ายว่าเห็นด้วยไหม  แต่ต้องของคุณการท่องเที่ยว ทำให้เราได้รู้จักคำว่า การละตัวตนของเราเองเพื่อเปิดรับตัวตนของอีกฝ่าย

15. การเดินทางคือแรงบันดาลใจ
เบื่อกับปัญหา เบื่อกับสังคม เบื่อกับการเรียน เบื่อกับทุกสิ่ง รู้สึกว่า เบื่อๆๆๆ เบื่อมันไปซะหมด ไม่อยากจะทำอะไรเลย แค่ลองออกเดินทางไปที่ไหนสักที แล้วกลับมายืนที่เดิมที่คุณหนีมันไป มุมมองของคุณเปลื่ยนไปมากจริงๆ เพราะถ้าคุณอยู่ตรงที่เดิม ไปออกไปไหน คุณก็จะโฟกัสอยู่แต่สิ่งคุณเบื่อ ปัญหาที่คุณเจอ

กำลังใจ ความสุข ที่ได้จากการเที่ยว มันทำให้เรามีแรงสู้ต่อ เรามีความเชื่ออยู่เสมอ ว่าการเดินทางต่อเติมแรงบันดาลใจให้กับเรา
เอสโตเนีย- ประเทศเล็กๆแสนน่ารัก

IMG_1179IMG_1184

ตอนนั้นเบื่อๆๆๆ ชีวิต เบื่อกับการเรียนที่หนักหนาสาหัส ตัดสินใจออกทริป ไปเที่ยว. พอกลับมาแล้ว มีกำลังใจในการเรียนต่อเยอะเลย ตั้งแต่นั้นมา เลยใช้ทริคนี้เสมอ เหนื่อย เบื่อ ท้อ. ออกต่างจังหวัดบ้าง ออกต่างประเทศบ้าง เพื่อให้ตัวเองได้เปลื่ยนสถานที่ เปลื่ยนบรรยากาศ เพื่อกลับมาสู้ปัญหาที่ค้างค้า

ญี่ปุ่น – ซากุระแรกในชีวิต

IMG_1185IMG_1186

แค่เปลื่ยนที่ เปลื่ยนบรรยากาศ อารมณ์ก็เปลี่ยนได้. ตอนนั้นมีปัญหาในใจตัวเอง พอได้ตกตะกอนความคิดในจิตใจและได้ออกไปเที่ยวเพื่อเปลื่ยนบรรยากาศ ความอึดอัดในใจของเราหายไปเลย. กลับมาที่เดิม แต่มุมมองเปลื่ยน

ไม่เคยคิดว่าการออกเที่ยวเองจะให้ข้อคิด ให้ความสุขกับเราได้ขนาดนี้ ถ้าถามว่าเราเปลื่ยนไปไหม. เราตอบได้เลยว่า เปลี่ยน เราค้นพบตัวเองว่าเราชอบอิสระมากขนาดไหน เราชอบที่จะถ่ายรูปตะเวนเก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปเรื่อยๆ เราเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เข้าใจคำว่าชีวิตมากขึ้นผ่านการท่องเที่ยว ติดดิน ไม่เรื่องมากเหมือนเมื่อก่อน เมื่อก่อนโน่นนี่ สกปรก ก็ไม่เอา นอนกลางทราย ถ่ายอุจจาระตามหุบเขาต่างๆ คงทำไม่ได้ การเดินทางทำให้ ความกลัว ความกังวล และเงื่อนไขในตัวเราเองที่มันเยอะมากลดหายไป ที่ละนิด ที่ละนิด จนเรารู้สึกว่า เห้ย เราเปลื่ยนไปได้ขนาดนี้เลยหรอ  

ความกล้า – คืออีกสิ่งที่การเดินทางมอบให้ ยิ่งเราออกเดินทาง เรายิ่งกล้ามากขึ้น มีความมั่นใจมากขึ้น. อีกทั้งเรายังรู้จักระมัดระตัว และรอบคอบ ช่างสังเกตมากขึ้นกว่าเดิมเยอะ

และที่สำคัญ เราได้รู้ว่าโลกใบมีสิ่งที่น่าสนใจมากมายที่รอเราให้ออกไปค้นหา ตอนที่เราออกเที่ยว เราประหลาดใจ ประทับใจในประเทศต่างๆ และผู้คนอยู่บ่อยครั้ง

เห้ย มีแบบนี้ด้วย โห ประเทศเขาเจริญมากเลยนะเนี่ย เฮ้ย นี่คือวัฒนธรรมของประเทศเขาหรอ เห้ย. ทำไมคนเขาใจดีกับเราแบบนี้อ่ะ.ความประหลาดใจและความประทับใจมากมายนับไม่ถ้วน ยิ่งเที่ยวยิ่งประทับใจ ยิ่งหลงใหล ยิ่งประหลาดใจกับสิ่งที่เราได้พบเจอ เราค้นพบว่าเมื่อก่อนตัวเราเองอยู่ในกรอบแคบๆ ที่รายล้อมด้วยกำแพงแห่งความกลัวที่เราสร้างขึ้นมา เมื่อออกสู่โลกกว้าง โลกแห่งความคิด โลกแห่งจินตนาการเรากว้างขึ้น มุมมองในชีวิตเรากว้างขึ้น จริงๆแล้ว เราเรียนรู้ชีวิตผ่านการท่องเที่ยว


เราคิดแค่ว่า ชีวิตนี้มีชีวิตเดียว เราขอออกเดินทางค้นพบโลกใหม่ๆ สัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ๆ แลกเปลี่ยนจิตใจกับผู้คน เรียนรู้และเติบโตต่อไปในแบบที่เราเป็น ในสิ่งที่เราใช่ ผ่านการท่องเที่ยว

ทุกครั้งที่นึกถึงประสบการณ์ที่ผ่านมา เหตุการณ์ต่างๆ ตลอดระยะเวลาที่เที่ยวมาเรื่อยๆ มันมีความสุขมาก มันมีความหมายต่อเราอย่างบอกไม่ถูก เราไม่สามารถอธิบายความรู้สึกนี้เป็นตัวอักษรได้ รู้แต่ว่ามันอิ่มเอมหัวใจยิ่งนัก

อย่ามองว่าการเดินทางมีแต่จะทำให้คุณเสียเงิน เสียเวลา อย่ากลัวว่าคุณจะต้องพบเจอปัญหาในต่างถิ่น อย่ากลัวว่าคุณจะทำมันไม่ได้ เพียงแค่คุณตัดสินใจก้าวออกจาก Comfort zone คุณก็ใกล้เข้าสู่เส้นชัยแล้ว รอเพียงแค่คุณได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่รอคุณอยู่ข้างหน้าที่คุณไม่รู้ว่าคุณจะต้องเจอกับอะไร เพียงแค่นั้น คุณจะพบความหมายของการเดินทาง คุณจะรู้ว่าทำไม ฉันถึงต้องเดินทาง เราเดินทางเพื่ออะไร และเราได้อะไรจากการเดินทาง

ถ้าใครอยากได้ข้อมูลของแต่ละประเทศ หรืออยากแชร์ประสบการณ์ของตัวเองให้เราฟัง เข้าไปที่เพจได้ค่ะ >>>>>>>>>>>>>>>>>>>> อาหมวยท่องโลก

นามิเบีย ไปเถอะ มันดีต่อใจ ฉบับ อาหมวยท่องโลก

IMG_0297.JPG

ประเทศนามิเบีย พูดไปหลายคนคงถามว่า มันคือที่ไหน มันมีอะไร อย่าว่าแต่คุณเลย เราก็เป็น จินตนาการไว้ว่า ต้องทุลักทุเล กันดาร ห่างไกลความเจริญ ลำบากลำบากๆ น้ำสกปรก อาหารต้องดิบๆ เถื่อนๆแน่ ถึงขั้นเราเตรียมโร่ซ่าพร้อมอาหารสำเร็จรูปจากประเทศไทยไป เพราะกลัวจะต้องกินเนื้อครึ่งสุก ครึ่งดิบ 555+ อ่านรีวิวของฝรั่งมา ก็บอกว่าที่นั่นชอบกินเนื้อไม่สุก มีเลือด ยิ่งคิดไปไกลเลย ภาพกินสเต็กไป เลือดอาบเต็มปาก 55+ จินตนาการของคนเราไปได้ไกลสุดจริงๆ

มาเข้าเรื่องกันดีกว่า ทริปนี้เกิดได้อย่างไร

– มีการเปลื่ยนแปลงทริปที่จะชมไปแสงเหนือที่ไอซแลนด์ สมาชิกไม่พอ เลยยกเลิกทริปไปก่อน เพื่อนเราคนหนึ่งได้พูดขึ้นมาว่า เห้ย กรูอยากไปเคปทาวน์ ไอ้เราก็ตอบไปว่า ไปก็ไปดิ  การเดินทางจึงได้เริ่มต้นขึ้น. พอหาข้อมูลไป เจอสถานที่เที่ยวในนามิเบีย แปลก น่าสนใจ เราเลยชวนเพื่อนบินไปเที่ยวนามิเบียด้วย

ทำไมถึงไปนามิเบีย

 

เราอยากไปที่นี่ Deadvlei ดินแดนที่ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนที่แห้งแล้วที่สุด จนพื้นดินแห้งแตกระแหงเป็นกระทะดินสีขาว. มีต้นไม้ Acacia Erioloba ที่มีอายุกว่า 900 ปีมา
แล้ว ที่แห่งนี้เกินขึ้นได้เพราะ น้ำท่วมจากแม่น้ำ Tsauchab จนทำให้ต้น Acacia Erioloba เจริญเติบโต ต่อมาอากาศเปลี่ยน พื้นทรายก็ถล่มจนน้ำไม่สามารถเข้าถึงพื้นทีตรงนี้ได้ ต้นไม้เหล่านี้ก็ยังคงอยู่ที่นี่จนถึงทุกวันนี้

คงมีคำถามว่า ทำไมมันไม่ตายล่ะ?

มันตายไปแล้วค่ะ ตามชื่อของมันเลย แต่ไม่ล้มลง เพราะมันแห้งแล้งมากนั้นเอง

ไกด์บอกว่าพื้นกระทะดินสีขาวตรงนี้มีหนึ่งเดียวในโลก กิ้วๆๆ อยากให้อิฉันไปเจอที่อื่นนะคะ จะโทรไปหาเลย

อากาศ

โครตร้อน พูดเลย. กลับมาไม่ดำก็ให้รู้ไป

อาหาร

อร่อยอ่ะ ไม่คิดไม่ฝันว่าเนื้อ Oryx จะอร่อยขนาดนี้ สะอาด อาหารอออกสไตย์ยุโรป เสต็ก ซุป ของหวาน ผลไม้ มีบุฟเฟย์ทั้งกลางวันและกลางคืน

เนื้อ Kudu และ Springbok ก็อร่อย ไกด์แนะนำ

เนื้อวัวไม่เหม็นกินได้ อร่อย มีเหม็นแค่เนื้อวัวในมื้ออาหารของสายการบิน Namibia Air

เนื้อไก่ เนื้อหมูมีแต่ไม่ได้นิยมกันในประเทศนี้

รับประกันอาหารไม่ดิบไม่เถื่อน กินได้ทุกอย่าง

ของหวานที่นี่มักเป็นคัสตาร์ด และเค้ก อร่อยดี ชอบ

ผลไม้อร่อยนะ
มาดูภาพสัตว์น้อยผู้น่ารัก ที่คนนามิเบียเอามาทำเนื้อเสต็กกัน

1. Kudu

IMG_0278

2. Oryx

IMG_0279

3. Springbok

IMG_0280

Credit: google.com

น้ำ

น้ำสะอาด ใช้อาบน้ำ แปรงฟังได้ปกติ แต่ไม่แนะนำให้กินน้ำจากก๊อก ซื้อน้ำเปล่าเป็นขวดกิน

ของกินอื่น

มีพวกโยเกิร์ต น้ำผลไม้ มีให้เลือกเยอะมาก คนชอบพวกน้ำผลไม้ตระกูลเบอรี่ คือสวรรค์เลย ไอศครีมของประเทศเขาก็อร่อยค่ะ ลองชิมไปถังหนึ่ง (ถังเล็กนะ อย่าพึ่งตกใจ) ทุกอย่างหาซื้อได้ภายในซุปเปอรมาร์เก็ต พวกเราเลือกชิมแต่ของที่ผลิตในนามิเบียเท่านั้น
ส่วนพวกขนมทั้งหลาย นำเข้าจากประเทศแอฟริกาใต้จ้ะ

หน่วยเงิน

ใช้เงินนามิเบียได้หรือจะใช้เงินแรนด์ของแอฟริกาใต้ได้เลย แต่ก่อนกลับไทยต้องแลกเงินนามิเบียให้เป็นแรนด์ก่อนนะ ที่ไทยไม่มีเงินนามิเบียให้แลกคืน

การเดินทาง

ขับรถเที่ยวเอง หรือจะจ้างไกด์ส่วนตัวก็ได้
ขับรถเที่ยวเองจะประหยัดค่าใช้จ่ายไปเยอะอยู่ ถ้าขับรถเอง ควรถึงจุดหมายก่อนฟ้ามืด ดูแผนที่ดีๆ ที่นี่มีคนหลงเยอะเหมือนกัน ไกด์บอกว่า จีพีเอส ก็พาไปมั่วได้ในหลายที่ ตัวเขาเองดูแผนที่ค่ะ

ความปลอดภัย

นามิเบียถือว่าเป็นประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในทวีปแอฟริกาใต้ แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ควรประมาท. เพราะไกด์บอกว่า ในเมือง Windhoek ตอนเขาพาเด็กนักเรียนต่างชาติมาทัศนศึกษาเมื่อปีที่แล้ว โจรได้ทุบกระจกรถบัสแล้วขโมยกระเป๋าเป้ไป ภายในช่วงเวลา 1 ชั่วโมง

การทำวีซ่า

ที่ไทยไม่มีสถานทูตนามิเบีย เลยต้องส่งเอกสารไปที่สถานทูตนามิเบียที่มาเลเซีย

เอกสารที่ต้องใช้

1.พาสปอรต์ตัวจริง ( และต้องซีหน้าแรกด้วย)
2.  รูปถ่าย4 ขนาดเท่าพาสปอรต์ 2 รูป

3. ตั๋วไปกลับและที่พัก

4. ก้อปปี้บัตรเครดิตการด์ บัตรเดบิทก็ใช้ได้

5. เงินค่าทำวีซ่า 75$ ให้แลกเป็น ดอรลาร์ไป

ทุกอย่างรวมถึงเงินส่งไปในซอง ใช้บริการ fed-ex ส่งให้เขาไปรับให้เราที่สถานทูต

ไปกี่วัน กี่ประเทศ  (ได้เที่ยวเต็ม วัน 8 วัน) 

– ไป 10 วัน 2 ประเทศ
1. ประเทศแอฟริกาใต้
2. ประเทศนามิเบีย

แพลนการเดินทาง

วันที่ 1 – fly to Johannesburg

วันที่ 2 – Johannesburg
วันที่ 3 – Johannesburg
วันที่ 4 – fly to Windhoek( เมืองหลวงของประเทศนามเบีย) เที่ยวในตัวเมือง และออกเดินทางไป Solitaire

วันที่ 5 Sossusvlei and sesriem Canyon

วันที่ 6 lake in Namibia, in the evening fly to Cape Town

วันที่ 7 Cape Town

วันที่ 8 Cape Town, evening flight to Johannesburg

วันที่ 9 shopping in Johannesburg , fly back to Bangkok

วันที่ 10 – arrive in Bangkok

ค่าใช้จ่ายตลอดทั้ง10 วัน

ไม่รวม pocket money = 70700 บาท

รายละเอียดดังนี้

1. ค่าตั๋ว

ตั๋วในประเทศ =12210 บาท (1. ตั๋วจากโจฮันส ไป วินฮุค 2. ตั๋วจากวินฮุคไป เคปทาวน์ 3. ตั๋วจากเคปทาวน์ไปโจฮัน)
ตั๋วบินจากไทย สายการบินสิงค์โปรแอร์ไลน์ ซื้อตอนโปรโมชั่น = 28000 บาท
2. ค่าโรงแรม
1. ค่าโรงแรมในโจฮันส์ 3คืน(ต่อคน)
2. ค่าโรงแรมในเคปทาวน์ 2 คืน (ต่อคน)
3. ค่าโรงแรมในนาบีเมีย 2 คืน (ต่อคน)

=10850  บาท (ต่อคน)

3. ค่าทัวร์
1. ค่า ไกด์+คนขับรถในนาบิเมีย 2คืน 3 วัน = 30000 (หาร 2 = 15000)=15000  บาทต่อคน

4. ค่าใช้จ่ายจิปาถะ

1. ค่าทำวีซ่านาบิเมีย =2700 บาท
2. ค่าส่ง fed-ex ส่งพาสปรอต์ไปที่สถานทูตนามิเบียที่มาเลยเซีย=1250 (ไปกัน 2 คน) =1250/2 = 625 ต่อคน
3. ค่าประกันการเดินทาง =1052

และ
Pocket money แยกต่างหาก 20000 บาท (ซื้อของฝาก, ค่าอาหาร, ค่ารถ hop on เที่ยวในเมือง)

มาดูรีวิวสถานที่ท่องเที่ยวกันดีกว่า 

ลดขนาดและรายละเอียดภาพลง เพื่อความรวดเร็วในการโหลดนะคะ

 

วันแรก

วันแรกในนามิเบีย เราบินกันมาถึงตอน 11โมง นัดพบกับไกด์
นี่คือโฉมหน้าของไกด์ เขาเป็นทั้งไกด์และคนขับรถไปในตัวเลย. คุณแอนดรู น่ารัก เทคแคร์ดี พวกเราใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารกับไกด์ค่ะ

Processed with VSCO with a8 preset

ภาพนี้ถ่ายวันกลับ พวกเราดำขึ้นจากเดิมเยอะเลยทีเดียว

โปรมแกรมในวันแรก คือเที่ยวชมเมือง Windhoek เมืองหลวงของนามิเบียนั้นเอง

ที่แรกที่เราไปคือ

Christ Church

IMG_0412

โบสถ์นิกายลูเทอแรน (หนึ่งในนิกายของคริสต์โปรเตรแตนต์) สถาปนิกชาวเยอรมันเป็นคนออกแบบ โบสถ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในช่วงสงครามระหว่างเยอรมันกับชนเผ่านามิเบีย

IMG_0410

ตรงข้ามโบสถ์ เคยเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์ทหารเยอรมัน แต่ตอนนี้ได้ย้ายอนุสาวรีย์นี้ไปเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์(ร้าง) และสร้างอนุสาวรีย์ Independence Memorial Museumมาแทนที่

ถ้าพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนามิเบีย และเยอรมัน เราไม่อาจตอบได้แน่ชัด แต่ถ้าถามถึงความรู้สึกของคนนามิเบียที่มีต่อเยอรมันนั้น บอกได้ว่า ชาวนามิเบียไม่ชอบเยอรมัน เนื่องมาจากเหตุการณ์ในอดีต ที่เยอรมันกดขี่พวกเขาในช่วงศตวรรษที่ 19

Independence Memorial Museum.

IMG_0411

ตรงนี้คือ Independence Memorial Museum. อยู่ตรงข้ามกับ Christ Church  มีรูปปั้นของ Dr. Sam Nujoma ประธานาธิบดีคนแรกของนามิเบีย และเป็นผู้นำคนสำคัญขับเคลื่อนให้นามิเบียเป็นอิสระจากประเทศแอฟริกาใต้

ไกด์เดินนำพวกเราไปพิพิธภัณฑ์ (ร้าง) ที่อยู่ด้านข้าง Independence Memorial Museum

ปัจจุบันเป็นที่เก็บรถม้า และอนุสาวรีย์ทหารเยอรมัน

IMG_0404

ต่อไปเราเดินไปที่

IMG_0413

อนุสาวรีย์แห่งสงคราม ตั้งอยู่ในสวนเล็กๆไม่ไกลจาก Christ Church ไกด์บอกว่า อาจจะรื้อถอนอนุสาวรีย์แห่งนี้ เพราะเยอรมันสั่งให้สร้างขึ้นให้กับนายทหารเยอรมันที่เสียชีวิตในการต่อสู้กับพวกของ Witbooi

เราฟังแล้ว ก็ โหย โหดอ่ะ นี่เขาเรียกว่า เกลียดแบบไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดเลยใช่ไหม

Witbooi คือใคร

Hendrik Witbooi คือฮีโร่ของนามิเบีย ในสมัยที่เขามีชีวิตอยู่ เขาปลุกระดม รวมรวบกำลังพลเพื่อต่อสู้กับรัฐบาลเยอรมัน ในสงครามเยอรมัน-นามิเบีย 1904-1905 มีคนเข้าร่วมกับ Witbooi เป็นจำนวนมาก ด้วยความหวังที่จะไม่ต้องโดนกดขี่จากเยอรมันอีกต่อไป ในสงครามครั้งนั้น ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก และ Witbooi ถูกฆ่าตายในปี 1905 ถึงแม้ว่า Witbooi จะตายไปแล้ว แต่เขายังเป็นฮีโร่ในใจประชาชนนามิเบียตลอดมา
จากนั้นไกด์พาไปร้านอาหารที่แนะนำของที่นี่. ระหว่างทางที่ขับไป ผ่านบ้านประธานาธิบดีด้วย แต่ไกด์บอกว่าเขาไม่ให้จอดถ่ายรูป

ไกด์พามากินที่ ร้าน Joe’s beer house แนะนำ อาหารอร่อย ให้เยอะ จนเราต้องเอาขอห่อกลับไปกินที่ที่พัก. พวกเราตัดสินใจเลี้ยงคนขับ ซึ่งความจริงทางบริษัทได้คิดค่าบริการแยกต่างหากไว้แล้ว เลี้ยงแค่มื้อนี้มื้อเดียวแหละ มื้ออื่นไม่ได้เลี้ยง
มาดูบรรยากาศในร้านกัน

IMG_0332IMG_0333IMG_0334

ราคาเสต็กอยู่ที่ 150-300 แรนด์ รสชาติดีนะ

IMG_0338

จากนั้นเราแวะซื้อของที่ซุปเปอร์ เพื่อนชื่อน้ำผลไม้เบอรี่เยอะมาก นางชอบ ส่วนเราซื้อไอศครีม 1 ถังเล็ก และน้ำดื่ม น้ำผลไม้ขวดหนึ่ง

IMG_0335

IMG_0418

ไกด์บอกว่าเราเลทนิดนิดแล้ว แต่ไม่เป็นไร 555+ จาก Windhoek ไป solitaire ใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง ลืมบอก ที่พักเราอยู่ที่ solitaire เมืองนี้อยู่ใกล้กับ Sossusvlei

เมื่อขับเข้าสู่เมือง Klein-aub ทางสวยดี อดใจไม่ไหวต้องบอกไกด์ว่า

A-muay: could we stop here to take some photos, please.  only one photo พร้อมกับยิ้มกว้างให้ไกด์สุดๆ

Guide: o.k. take your time

One photo ของอาหมวยท่องโลกคือ 100 ภาพ ค่ะ

IMG_0350

IMG_0341

จากนั้นขับต่อไปเรื่อยๆ หนทาง 2 ข้างฝั่งเต็มไปทุ่งหญ้าและภูเขา

IMG_0362

IMG_0420

ภูเขาแถวนี้สวยทุกลูกเลย ห้ามใจไว้แล้ว แต่ปากหลุดพูดไป หยุดถ่ายรูปแปบนึงนะคะ แอนดรู ไกด์ของพวกเราใจดี ยอมพวกเราอีกแล้ว

พระอาทิตย์เริ่มลับของฟ้า

IMG_0428

ความจริงตอนที่ถ่ายแถวนี้ ฟ้ามืดแล้ว แต่ใช้โหมดกลางคืนถ่ายเลยดูเหมือนว่ายังสว่างอยู่

IMG_0368

ถึงที่พักตอน 2 ทุ่มนิด เราพักที่ Solitaire Desert Fram

ที่นี่มี 2 ที่นะคะ อยู่ห่างกันประมาณ 70 กิโลเมตร. เราพักอันที่เป็นห้องพร้อมแอร์
มาดูห้องกัน

IMG_0372IMG_0373IMG_0374

ขอเล่าเรื่องตลกนิดๆของพนักงานเชคอิน นางถามพวกเรามาจากประเทศไหน พอเราบอกว่าประเทศไทย นางถามว่า เธอเอาปลามาใช่ไหม เธอจะทำอาหารจากปลาใช่ไหม. เรา 2 คนมองหน้ากันงงๆ ตอบไปว่า ไม่ทำ. ไม่มีปลา นางเลยบอกว่า คราวหน้ามา เอาปลามาด้วยนะ ถามไปถามมาเลยรู้ว่านางเคยไปเมืองไทย และชอบปลามากๆ

ภาพของโรงแรมที่นี่เพิ่มเติม (ถ่ายวันที่เช็คเอาท์)

ข้อดี: ราคาไม่แพงมาก ห้องสำหรับ 2 คน ราคา 5000บาทต่อคืน พื้นที่กว้างขวาง อาหารอร่อยมาก ดาวยามคำ่คืนชัดมาก ฟ้าเปิดสุดๆ

ข้อเสีย:  แมลงเยอะ ตอนนอน bedbugs กัดเพื่อนเราตั้งหลายตุ่ม นางคัน และตุ่มบวมแดงอยู่หลายวัน เราโดนกัดด้วยแต่น้อยค่ะ แค่ 2 ตุ่ม

 

วันที่ 2 ในนามิเบีย

 

ไกด์นัดพวกเรา ตี 4 เพราะขับจากที่นี่ห่างจาก Sossusvlei ประมาณ 45นาที -1 ชั่วโมง

 

Sossusvlei หรือบึงเกลือความตาย ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติของนามิเบีย (the Namib-Naukluft National Park) เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองของประเทศนามิเบีย ห้อมล้อมไปด้วยทะเลทรายสีแดง ทะเลทรายบางส่วนเหล่านี้ถือว่าเก่าแก่ที่สุดของโลก มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย อาทิ เช่น

1. Dune 45 ทะเลทราย สูง 85 เมตร
2. Big Daddy ทะเลทรายที่สูงที่สุดในเขตนี้
3. Deadvlei จุดหมายของเรา
4. Sesriem Canyon หุบเขาลึกที่มีแม่น้ำตรงกลาง แต่ตอนนี้ไม่มีน้ำแล้วค่ะ

 

 

ไกด์ให้พนักงานเตรียมอาหารเช้าให้ด้วย เป็นแซนด์วิช 2 ชิ้น ไข่ต้ม น้ำผลไม้ แอปเปิล 1 ลูก ดีสุดๆๆ

 

มาถึงแล้วค่ะ เราเป็นคันที่ 4 ที่มาต่อแถว นะหว่างนั้น เจ้าหน้าที่ก็มาบอกรถทุกคันให้ต่อแถวกันเป็นเส้นตรง อย่าเบี้ยว

 

IMG_0295

เกทเปิด  6โมง แต่กว่าจะปล่อยให้เราเข้าไป ก็ 6โมง20 นาทีได้ สายมากสำหรับคนที่จะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ทะเลทราย

 

ระหว่างขับไป คนขับก็บอกว่า ขอโทษด้วยที่ทำให้ดูพระอาทิตย์ขึ้นไม่ทัน 555+  รู้สึกเฉยมากๆ เพราะรู้ว่า ไม่ทันตั้งแต่ตอนรอแล้ว

เลยบอกคนขับถ่ายรูประหว่างทางดีกว่า สวยดี. คิดถูกแล้วที่ถ่ายกันตอนนั้น เพราะขากลับ คุณจะไม่มีเรี่ยวแรง คุณจะหมดสภาพถึงขีดสุด

ถ่ายเพื่อน นางมาสายแบ๊ว น่ารักมุมิ ที่นางหลับตา คิดว่าน่าจะเป็นเพราะแสงแยงตานะ

 

 

ยืนถ่ายกันตรงนี้นานอยู่ ชอบแสงตอนเช้าในทะเลทราย ไม่ร้อนจนเกินไป

IMG_0298

 

 

ระหว่างที่ไกด์ขับไป Sand dune 45 เราก็แวะถ่ายรูปไปเรื่อยๆ

IMG_0299IMG_0300

ระหว่างทางเจอ Oryx ด้วย แต่ไม่ได้เอาเลนส์ซูมไป เลยใช้มือถือถ่ายค่ะ พวกนี้จะกลัวคนมากเป็นพิเศษ เพราะคนที่นี่ล่าเขาไปทำเสต็กนั่นเอง

IMG_0301

 

มาถึงแล้ว Dune 45 ทะเลทรายตรงนี้เกิดจากลมค่ะ ลมพัดทรายจากชายฝั่ง หลายๆที่ จนเกิดเป็น dune 45 ทำไมเรียกว่า dune 45 เพราะมันตั้งอยู่ห่าง 45 กิโลเมตร จากประตูทางเข้า

 

IMG_0302

 

เตรียมตัวขึ้น

 

IMG_0303IMG_0304

 

ระหว่างที่ขึ้นไป ยังไหวอยู่ อากาศยังไม่ร้อนเท่าไหร่ แต่ลมได้พัดรองเท้าแตะหลุดไปแล้วค่ะ

ภาพนี้เพื่อนแอบถ่าย 555+ อาหมวยท่องโลกยังยิ้มได้ แม้ว่ารองเท้าจะหายไปแล้วข้างหนึ่งก็ตาม

 

IMG_0333

 

ต้องบอกก่อนว่า ทะเลทรายที่นามิเบีย ลมแรงมาก และอากาศร้อนมาก. ส่วนตัวเคยไปทะเลทรายโกบีที่มองโกเลีย ยังไม่เจอลมทรายขนาดนี้ แต่อันนี้คือพัดเข้าตาตลอด แสบมาก ลืมตาไม่ได้เลย

 

ตอนเริ่มเดินยังไม่เท่าไหร่ มองจากจุดเริ่มต้นคือ ดูไม่ไกลใช่ไหม แต่พอเมื่อเราเริ่มเดินต่อไป ยิ่งไกลมากขึ้นทุกที ลมทรายยิ่งพัดแรงมากขึ้น ลืมตาไม่ได้เลย. หันมาดูอีกทีกล้องเราเต็มไปด้วยทราย ติดตามซอกเล็กซอกน้อยเต็มไปหมด จะเปิดกล้องถ่ายรูป ก็ยังทำไม่ได้ จุดนี้คือสงสารกล้องตัวเองมากกว่าตัวเองซะแล้ว เป็นความพลาดของตัวเอง ที่เอากล้องใหญ่ขึ้นมาบนนี้

 

เดินไปได้ซะพักใหญ่ ขอนั่งพักกับฝรั่งคนหนึ่งที่นั่งอยู่ พูดเลยมาหมดสภาพ เพื่อนบอกว่า เห้ยเมิงถ่ายรูปให้หน่อยดิ. ตอบกับไปว่า โอ๊ย ทรายเข้าปาก เข้าตากรู ลืมไม่ขึ้นอยู่เนี่ย 555+ จุดนั้น ถ่ายตัวเองยังไม่ได้เลย. เดินต่อซักพัก. โครตร้อน ลมแรงมากกว่าเดิม มองไม่เห็นเลย ตัดสินใจเดินต่ออีกนิด ลมก็พัดทรายกระหน่ำกว่าเดิม. ตอนนั้นมี ฝรั่ง(ตัวใหญ่พอสมควร) เดินหอบตามหลังมา. เราหันไปบอกเขาว่า you can go, after you (คุณไปได้เลย ฉันจะตามหลังคุณไป) เขากับบอกว่า เธอไปเหอะ ฉันไม่รีบ พร้อบเสียงหอบ คงเหนื่อยมากน่าดู และ นี่ก็คือสภาพเราเช่นกัน พอนึกย้อนถึงตอนนั้น ตลกตัวเองอยู่เหมือนกัน เกี่ยงกันเดินกับฝรั่ง. คราวนี้ เดินไปอีกนิด ตัดสินใจเดินลง เพราะร้อน ขาลงลมพัดแรงกว่าเดิม มันคงจะบอกเราว่า อย่าลงนะ อย่าลง. พยายามดึงเสื้อปิดกล้องไว้ แต่จับเสื้อไม่ได้เลย ลมแรงพัดจนเสื้อคลุมหลุด โชคดีที่มือถือไม่ตกลงไปในทราย

 

และเช่นเคย เพื่อนแอบถ่ายอีกแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมนางถ่ายได้ หรือเพราะว่าเราเตี้ยกว่านาง 555

IMG_0389

 

เมื่อลงมา เราก็มาแสตนบายถ่ายรูปนางตอนลง ทรายพัดแรงสุดยอด สังเกตได้จากรูปถ่าย

 

 

IMG_0390

เดินเล่นถ่ายรูปข้างล่างอีกสักนิด

IMG_0391

 

นี่สภาพหลังจากลงมาจากทะเลทราย สังเกตที่รองเท้า และผ้าผันคอ หายค่ะ

รองเท้าแตะปลิวหายข้างหนึ่งในตอนที่เดินขึ้น ยืนถ่ายรูปข้างล่างซะพัก ผ้าผันคอปลิวเดินตามไปหยิบแต่ทรายพัดหายไปแล้ว ไม่เจอค่ะ ของเพื่อนต่างหูปลิวหลุด และฝากล้องก็หลุดหายเหมือนกัน 5555+

 

จากนั้นต้องเรานั่งรถ 4 w เข้าไป จ่ายคนละ 150 แรนด์ แล้วจึงลงเดินเข้าไปชม Deadvlei จุดหมายของเรา รถจะพาเราไปจอดตรงหน้าทางเข้า Deadvlei

IMG_0394

รถที่พวกเรานั่งไป รูปร่างแบบนี้ค่ะ

 

เมื่อมาถึง เราต้องเดินเข้าไป ระหว่างทางเดินไปจะผ่าน Big Daddy เนินทรายที่สูงที่สุด เดินกันไกลพอสมควร อากาศร้อนระอุมาก ไม่สามารถเดินเท้าเปล่าได้เลย พอจับกล้องที่สะพายมาร้อนจี่ สงสารกล้องอีกแล้ว. คนขับบอกให้เอาน้ำมา เข้าใจแล้วว่าทำไม มันร้อนมาก เหมือนถูกเผาอยู่บนเตา เหนื่อยมากกว่าเดิม เพราะต้องเดินขึ้นเนินทรายตลอดในระหว่างทางที่ไป Deadvlei อากาศที่ร้อนระอุคืออุปสรรคสำคัญเลย

IMG_0395

ขยับเข้ามา ใกล้ขึ้นอีกนิด ระหว่างนี้เราต้องเดินพัก เพราะเหนื่อยมาก เป็นคนที่อยู่ในที่อากาศร้อนมากๆไม่ได้เลย เหนื่อยมากเป็นพิเศษ. ปกติแล้วจะชินกับอากาศหนาวมากกกว่า เพราะเคยศึกษาอยู่ที่รัสเซีย เจอ อากาศ -35 ก็เจอมาแล้ว แต่อยู่ได้ ไม่มีปัญหา พอเจอทะเลทรายนามิเบียเข้าไป พูดเลยว่า โหดจริง

 

 

มาถึงแล้ว กัดฟันอดทนมาเพื่อตรงนี้ คุ้มมากกับสิ่งที่เห็น. ถ้ามากับทัวร์ เขาจะให้เวลาคุณตรงนี้แค่ 20 นาที (ไม่แน่ใจว่านับตั้งแต่ทางเข้าไหม เพราะเดินตั้งแต่ทางเข้ามาตรงนี้ ไกลพอสมควร เวลาน้อยไปนิด). เรามากันเอง เลยไม่ต้องกังวลเรื่องเวลา

 

 

เดินไป หอบไป ถ่ายรูปไป

 

 

ในภาพดูเหมือนไม่ร้อนมาก แต่ของจริงบอกได้เลยว่า คุณไหม้แน่นอน

IMG_0399IMG_0400

เหนื่อยขนาดไหน ภาพนี้น่าจะตอบคุณได้ เพื่อนแอบถ่ายอีกแล้ว ณ จุดนั้น ขาเมื่อยมาก เพราะตอนขึ้นทะเลทราย ขาเกร็งมากเป็นพิเศษ

 

อยู่ที่ deadvlei นานอยู่เหมือนกัน ถึงเวลาต้องบอกลาแล้ว

IMG_0401

 

ตอนกลับเราต้องเดินถอยหลังกลับ เพื่อลดแรงโน้มถ่วง เห็นเพื่อนทำ เลยทำตามบ้าง ช่วยได้เหมือนกัน แต่ก็ยังเหนื่อยอยู่ดี ความจริงพวกเราควรนั่งพักแบบคู่นี้

IMG_0402

เดินช้ามาก ถึงช้าที่สุด หมดแรงและหมดสภาพ

เมื่อถึงหน้าประตูทางเข้า คนขับรถกับไกด์ บอกว่าให้นั่งพักก่อน 55+ สงสัยเห็นเราเหนื่อยมาก. ไกด์บอกว่า ฉันเข้าไปเดินด้วยไม่ได้เพราะฉันมีอายุมากแล้ว ฉันอาจหัวใจวายได้

ไกด์บอกเพิ่มเติมอีกว่า วันนี้พวกคุณน่าจะเดินเกินกว่า 20 โลนะ นี่คือประโยคที่ช่วยทำให้หายเหนื่อยไหม พูด!!!! 55+ เดินเยอะไม่เกี่ยวนะ แต่อากาศที่ร้อนแบบนี้ ทำให้เหนื่อยมาก เหนื่อยสุดๆ

 

 

 

 

 

ส่วนบ่ายคนขับพาเราไปกินอาหารกลางวันที่โรงแรมใกล้ๆกับ Sossusvlei เราสิงอยู่ที่นั้นเล่นไวไฟ รอตอน 4 โมงครึ่งเพื่อออกไป Sesriem Canyon อากาศร้อนเกินกว่าที่จะเที่ยวตอนกลางวันได้

 

ดูวิวระหว่างทาง

IMG_0442

 

 

จาก Sossusvlei มา Sesriem Canyon ไม่ไกลเลย ขับรถประมาณ 15 -20นาทีได้

 

IMG_0443

ภายในหุบเขา เฉยๆ ไม่มีอะไรน่าสนใจมากนัก. ตอนพวกเราออกจากหุบเขา แดดส่องลงมาที่ Canyon พอดี เลยถ่ายรูปไว้หน่อย

 

ขากลับ อีกฝั่งหนึ่งฝนตก เลยเกิดสายรุ้ง อาหมวยท่องโลกก็ไม่พลาดที่จะเก็บภาพ

 

IMG_0444

ทริปนี้เหนื่อยสุดๆ แต่ครั้งหนึ่งในชีวิตได้มาที่นี่ ก็มีความสุขแล้วค่ะ